ในวันที่สื่อขาดความตระหนักยั้งคิด-เรื่องการนำเสนอข่าวเด็กหญิงที่หายไป
"...การนำเสนอข่าวของเด็กผู้หญิงในลักษณะนี้ นอกจากเป็นการละเมิดสิทธิเด็ก ก็ยังบ่งชี้ว่า สื่อมวลชนเน้นขายข่าวจนขาดการเอาใจเขามาใส่ใจเรา..."
หมอรับรู้รับเห็นข่าวนี้มาทั้งวันด้วยความเศร้าใจ รอว่าเมื่อไหร่ที่ทุกอย่างจะจบเสียทีแต่ดูท่าทีแล้วเหมือนจะหนักหนาขึ้นเรื่องๆ
มันคงเป็นสงครามข่าวสาร ที่ทุกคนแข่งกันหาข่าวให้ได้เร็วที่สุด ลึกที่สุด แต่หมอคิดว่า จริยธรรมและความเป็นมนุษย์ ก็เป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนไม่ว่าใคร ควรคำนึงถึงเป็นอย่างแรก
เมื่อไม่กี่วันก่อนมีข่าวเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่หายไป ซึ่งตอนนี้ตามจนพบแล้ว มันควรเป็นเรื่องที่จบลงด้วยดี
แต่ในวันนี้หมอเห็นการนำเสนอข่าวของเด็กแล้วรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง หลายๆสื่อที่ลงรายละเอียดเรื่องราวต่างๆของเด็กอย่างชัดเจน เด็กไปทำอะไรที่ไหน เจออะไรในห้องพัก และมันบ่งชี้ว่าเด็กกำลังเป็นอะไร ข้อมูลที่เป็นเรื่องส่วนตัวซึ่งไม่ควรนำมาเปิดเผย แต่ก็ออกมาในข่าว นักข่าวทำข่าวนี้อย่างจริงจัง ไปสอบถาม ไปสัมภาษณ์คนที่พบเห็นเด็ก หมอดูข่าวด้วยความอนาถและเศร้าใจ
หมออยากรู้ว่ามันมีประโยชน์อะไรในการนำเสนอข่าวเช่นนี้ และนักข่าวมีความรับผิดชอบมากน้อยแค่ไหนในการนำเสนอ
หน้าตาที่ชัดเจน ชื่อของเด็ก ปรากฏชัดเจนในข่าว แม้จะมีการเซนเซอร์หน้าในบางสื่อ แต่รูปที่ชัดเจนของเด็กก็เผยแพร่ไปทั่ว (เพราะต้องการติดตามหาตัวเด็กที่หายไป) คิดไหมว่าถ้าเด็กคนนี้เป็นลูกเป็นหลานของเรา หรือแม้แต่ตัวเราเอง เขาจะเติบโตไปอย่างไร
การออกข่าวเพื่อตามหาเด็กเป็นเรื่องที่ดี แต่เมื่อพบเด็กแล้ว ทุกอย่างควรจบ และนำเสนอแต่พอดี
หลายครั้งที่สื่อมวลชนไทยนำเสนอข่าวโดยที่บอกว่า สังคมกำลังสนใจ แต่จริงๆแล้วการนำเสนอข่าวของสื่อควรพิจารณาปัจจัยต่างๆมากกว่านั้น
สื่อมวลชนเป็นคนที่มีอิทธิพลในการชี้นำสังคม และหากรู้ว่าสิ่งไหนที่ไม่ควรนำเสนอ แม้คนจะสนใจมากมายก็ตาม ก็ควรจะหลีกเลี่ยงและนำเสนอข่าวอื่นๆ ที่มีประโยชน์
การนำเสนอข่าวของเด็กผู้หญิงในลักษณะนี้ นอกจากเป็นการละเมิดสิทธิเด็ก ก็ยังบ่งชี้ว่า สื่อมวลชนเน้นขายข่าวจนขาดการเอาใจเขามาใส่ใจเรา
หมอเข้าใจว่าคนไทยส่วนใหญ่เป็นคนใจดี มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ นักข่าวก็เช่นกัน แต่บางครั้งคุณก็ขาดความละเอียดอ่อน และลืมที่จะคิดให้มากก่อนที่จะทำอะไร ในท่ามกลางสังคมในการแข่งขัน คุณเร็วเกินไปที่จะหยุดตรึกตรองถึงความเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นนักข่าวที่ทำข่าวนี้ หรือพวกเราประชาชนที่กดไลค์ กดแชร์ หรือเข้าไปให้ความเห็นอย่างลืมที่จะคิดก่อนทำอะไรแบบนั้น
หมออยากของความร่วมมือจากนักข่าว และพวกเราทุกคน ไม่สนับสนุน ให้ความสนใจข่าวนี้ ไม่กดไลค์ ไม่กดแชร์
ไม่ต้องคิดอะไรมาก คิดว่าถ้าเด็กคนนี้เป็นลูกหลาน คนที่เรารัก เราจะทำแบบที่เราทำอยู่หรือไม่ เท่านั้นเอง เราจะเข้าใจและมีความยับยั้งชั่งใจมากขึ้นค่ะ
#หมอมินบานเย็น