ส่วย’ภูเก็ต’ปราบไม่หมด หรือไม่เคยปราบ?
"...ทุกวันนี้สถานบันเทิงผับ – บาร์ในภูเก็ตต้องจ่ายส่วยแห่งละ 37,300 บาทต่อเดือน ให้กับคนที่อ้างว่ามาจากหน่วยงานต่างๆ รวม 25 หน่วย และหากสถานที่แห่งนั้นมีลูกจ้างเป็นคนต่างด้าวที่ทำงานอย่างผิดกฎหมายก็ต้องจ่ายรายหัวอีกหัวละ 9,100 บาท เช่นถ้ามี 3 คนก็ต้องจ่าย 27,300 บาท ประเมินว่าทั่วเกาะภูเก็ตมีสถานบันเทิงราว 1,000 แห่ง เท่ากับมีส่วยรายเดือนรวมกันมากถึง 37 ล้านบาท..."
ทุกวันนี้สถานบันเทิงผับ – บาร์ในภูเก็ตต้องจ่ายส่วยแห่งละ 37,300 บาทต่อเดือน ให้กับคนที่อ้างว่ามาจากหน่วยงานต่างๆ รวม 25 หน่วย และหากสถานที่แห่งนั้นมีลูกจ้างเป็นคนต่างด้าวที่ทำงานอย่างผิดกฎหมายก็ต้องจ่ายรายหัวอีกหัวละ 9,100 บาท เช่นถ้ามี 3 คนก็ต้องจ่าย 27,300 บาท ประเมินว่าทั่วเกาะภูเก็ตมีสถานบันเทิงราว 1,000 แห่ง เท่ากับมีส่วยรายเดือนรวมกันมากถึง 37 ล้านบาท ไม่รวมส่วยแรงงานต่างด้าวกว่า 27 ล้านบาทอีกต่างหาก (ดูรายละเอียดในภาพประกอบ)
ประเทศไทยไม่มีทางเอาชนะระบบส่วยได้จริงหรือ...
ข้อมูลจากข้าราชการผู้ใหญ่ที่ผมนับถือกรุณาส่งมาให้นี้ชัดเจนมาก แต่นี่อาจเป็นเพียงการเปิดโปงบัญชีส่วยอีกครั้งที่ทุกคนพูดถึงและสาปแช่งแต่ทำอะไรไม่ได้ จนผู้คนมึนงงว่า “ทำไมเจ้าหน้าที่ของรัฐยังคงทำผิดกฎหมายอย่างโจ่งแจ้งและเป็นขบวนการได้เช่นนี้”
มองกลับไปทุกยุคสมัยเราได้เห็นนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ผู้บัญชาการตำรวจและอธิบดีหลายกรม ประกาศว่าจะเล่นงานพวกรีดไถอย่างจริงจัง ลงโทษเด็ดขาดรุนแรง ส่วยต้องหมดไป ตามด้วยคำพูดว่า ใครพบเห็นหรือมีข้อมูลอะไรให้แจ้งมา สิ่งนี้สะท้อนว่าส่วยเป็นปัญหาใหญ่ที่ทุกคนรับรู้ว่าต้องรีบเอาชนะให้ได้เพราะประชาชนไม่พอใจ แต่สิ่งที่ผู้มีอำนาจแต่ละคนไม่เคยทำก็คือ ออกมาบอกให้สังคมรู้ชัดๆ ว่าเขาลงมือทำอะไรไปแล้วบ้างและต่อไปจะทำอะไร อย่างไร รวมทั้งถามความเห็นประชาชนบ้างว่าอยากให้พวกเขาทำอะไรและคนไทยพร้อมจะช่วยอะไร
อะไรทำให้วงจรส่วยคงอยู่ได้..
ทราบกันดีว่า การทุจริตมี “วงจรยาว” คือนอกจากแต่ละคนต้องหาความร่ำรวยใส่ตนแล้วยังต้องส่งส่วยให้เจ้านายตามลำดับชั้น ใครจะมาเป็นใหญ่หรือรักษาตำแหน่งไว้ล้วนมีต้นทุนราคาแพงหรือต้องหาทางตอบแทนผู้ใหญ่ที่สนับสนุน มีหลายกรณีที่พวกเขาจำต้องแบ่งปันกับหน่วยงานอื่นด้วย ส่วนคนจ่ายสินบนก็เอาง่าย ยอมจ่ายหรือเป็นฝ่ายเสนอเงินให้เขาเพราะตัวเองทำบางอย่างผิดกฎหมาย ขณะที่ส่วนใหญ่แม้ไม่ผิดอะไรก็ยอมจ่ายเพื่อตัดปัญหา ไม่กล้าสู้ หรือเพราะกลัวเดือดร้อนถูกกลั่นแกล้ง
สภาพนี้จะเรียกว่าขูดรีดหรือการหาผลประโยชน์และการพึ่งพากันก็แล้วแต่
มีงานวิชาการจำนวนมากระบุว่า สาเหตุที่ส่วยดำรงอยู่ได้ทุกวันนี้เป็นเพราะ เราขาดมาตรการตรวจจับข้าราชการที่ร่ำรวยผิดปรกติ ไม่มีการปกป้องประชาชนและสื่อมวลชนที่ขุดคุ้ยขัดขวางพฤติกรรมชั่ว สังคมไม่เคารพความถูกต้อง วัฒนธรรมนับถือคนรวยคนมีอำนาจ นักการเมืองไม่ใส่ใจแก้ไขปัญหามัวแต่มุ่งหาประโยชน์และสร้างเครือข่ายของตน กลไกตรวจสอบและรักษาความยุติธรรมของรัฐร่วมฉ้อฉลเสียเอง ระบบเส้นสาย การซื้อขายตำแหน่ง ข้าราชการมีอำนาจและโอกาสใช้ดุลยพินิจมากเกินไปโดยที่กฎหมายมีมากจนเฟ้อแม้หลายเรื่องจะล้าหลังหรือไร้ประโยชน์แล้วก็ยังบังคับใช้อยู่ เป็นต้น
ส่วยเป็นเรื่องผิดกฎหมายที่ต้องแอบทำกันลับๆ ในประเทศทั่วโลก ไม่ใช่พฤติกรรมที่พบเห็นได้ง่ายๆ ในวิถีชีวิตอย่างที่เห็นในบ้านเราทุกวันนี้ แล้วเราก็ต้องทนอยู่กับมันไปเรื่อยๆ อย่างนี้รับไม่ได้จริงๆ ครับ
ส่วยจึงเป็นอีกปัญหาคอร์รัปชันขั้นวิกฤติที่พรรคการเมืองและนักการเมืองควรเสนอต่อประชาชนในการหาเสียงเลือกตั้งว่า มีนโยบายในการปราบปรามอย่างไร
ดร. มานะ นิมิตรมงคล
เลขาธิการ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ
7/1/62
อ่านเพิ่มเติมได้จากบทความ #ภูเก็ตทำไมคอร์รัปชันเยอะจัง #ส่วยรถบรรทุกหายนะจากกติกาที่ไม่เป็นธรรม #นโยบายต้านโกง
อ่านประกอบ : ภูเก็ต: ทำไมคอร์รัปชันเยอะจัง