ไฟเขียว ‘นาซา’ ใช้สนามบินอู่ตะเภา ตั้งศูนย์ HADR ช่วยเหลือภัยพิบัติ
ที่ประชุมหน่วยงานด้านความมั่นคง ไฟเขียวให้องค์การนาซา ใช้สนามบินอู่ตะเภา ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม เมื่อเกิดภัยพิบัติ ปลอดประสพ บอก 3 เหตุผล ยืนยันเป็นเรื่องทางวิชาการ ไม่เกี่ยวกับการเมืองใด ๆ ทั้งสิ้น
วันที่ 18 มิถุนายน นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงผลการหารือผู้นำเหล่าทัพและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กรณีองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ หรือ นาซา ขอใช้สนามบินอู่ตะเภา โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ว่า ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการ 2 เรื่อง คือ ให้ตั้งศูนย์ HADR (เอช-เอ-ดี-อาร์) อย่างไม่เป็นทางการที่สนามบินอู่ตะเภา และให้ตั้งคณะทำงานร่วมกัน เพื่อพิจารณาและฝึกอบรมการปฏิบัติงาน เพื่อช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม เมื่อเกิดภัยพิบัติในระดับภูมิภาค โดยคณะทำงานจะมีผู้แทนจากกระทรวงการต่างประเทศและกองทัพ ทำงานร่วมกับหลายประเทศในลักษณะพหุภาคี และต้องทำรายละเอียดข้อตกลงการเข้ามาของแต่ละประเทศ
นอกจากนี้ ยังเห็นชอบเรื่องที่องค์การนาซา จะสำรวจสภาพภูมิอากาศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ละเอียดมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยร่วมสังเกตุการณ์ด้วย โดยให้ตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษารายละเอียดด้วย พร้อมยืนยันว่าประเทศไทยจะได้รับประโยชน์
นายสุรพงษ์ ยังกล่าวด้วยว่า องค์การนาซาเป็นองค์กรทางวิชาการ เป็นคนละส่วนกับกองทัพสหรัฐฯ จึงไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงอย่างที่หลายฝ่ายกังวล โดยทั้ง 2 เรื่อง จะนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 19 มิถุนายนนี้
" วันพรุ่งนี้คณะรัฐมนตรีจะพิจารณาเรื่องนาซ่า ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีตั้งแต่เมื่อวันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา และวันพรุ่งนี้จะได้ข้อสรุปสำหรับประเด็นที่มีหลายฝ่ายบอกว่าจำเป็นต้องเข้า รัฐสภาเพื่อต้องผ่านมาตรา 190 วรรคสอง หรือไม่ ซึ่งทางคณะรัฐมนตรีจะส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความด้วย ขณะที่กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศเห็นว่าในเรื่องของนาซ่าไม่เข้าข่ายในมาตรา 190 วรรคสอง แต่เป็นมาตรา 190 วรรคหนึ่ง คือต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี"
ด้านนายปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า เรื่องความร่วมมือกับนาซ่าเป็นความร่วมมือทางวิชาการ เป็นเรื่องทางวิชาการ ไม่เกี่ยวกับการเมืองใด ๆ ทั้งสิ้น และนาซ่าได้ดำเนินการกับทางจีน เกาหลี และญี่ปุ่น ในเรื่องเดียวกันนี้มาแล้ว ดังนั้นอย่าไปตกใจและยืนยันว่าเรื่องนี้ประเทศไทยได้ประโยชน์อย่างมาก โดยการสำรวจของนาซ่านั้น ประเทศไทยจะได้ประโยชน์อย่างกรณีน้ำท่วม จะได้เรียนรู้เรื่องฝน เรื่องเมฆ ซึ่งไทยไม่มีความรู้ และยังได้รับความรู้เรื่องของฝุ่นละอองขนาดเล็กในประเทศไทย ที่เกิดจากการเผาป่า เผาไร่ ซึ่งจะเป็นผลต่อทัศนวิสัยทำให้มองเห็นไม่ชัดเจน รวมทั้งมีผลต่อคุณภาพอากาศที่ไม่เป็นปกติ และเป็นส่วนเกี่ยวกับภาวะโลกร้อน จึงเป็นการได้เรียนรู้ทางวิชาการไม่เกี่ยวกับความมั่นคง
"แต่เพื่อให้เกิดความสบายใจ ทางรัฐบาลจะได้ตั้งคณะทำงานโดยผมจะเป็นประธานคณะทำงานในเรื่องนี้ และจะมีเจ้าหน้าที่ทหาร เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ และฝ่ายวิชาการร่วมกันพิจารณาในรายละเอียดอีกครั้ง ส่วนเหตุผลที่ต้องใช้สนามบินอู่ตะเภา นั้น มี 3 ประการ ได้แก่ 1. ดาวเทียมยุทธศาสตร์อยู่ใกล้บริเวณศรีราชา จึงต้องใช้สนามบินอู่ตะเภาซึ่งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน 2. การตรวจฝุ่นละออง เมฆ ส่วนใหญ่จะสำรวจพื้นที่ที่อยู่บริเวณทะเล และ 3. การใช้เครื่องบินจำเป็นต้องใช้ทางวิ่งที่ยาวมาก จึงต้องใช้สนามบินอู่ตะเภา"
ขณะที่พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงข้อกังวลที่เกรงว่าจะกระทบความมั่นคงนั้น กองทัพอากาศจะมีส่วนในการตรวจสอบอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จะนำขึ้นบินสำรวจ อีกทั้งก่อนการดำเนินโครงการ จะมีการดูในเรื่องขั้นตอนปฏิบัติ ที่ต้องมากำหนดร่วมกัน ทั้งนี้ ยืนยันว่าไม่มีการเอาทหารเข้ามา เป็นเรื่องของภัยพิบัติโดยตรง
ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง:ก.ต่างประเทศ แจงการขอใช้พื้นที่สนามบินอู่ตะเภา http://www.thaireform.in.th/multi-dimensional-reform/2011-12-08-05-21-57/item/7734-2012-06-18-06-51-28.html
บรรยายใต้ภาพ: 5 มิถุนายน 2555 พลเอก Martin E.Dempsey ประธานคณะเสนาธิการทหารร่วมสหรัฐอเมริกา เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า
