นายกรัฐมนตรีใช้ “iSEE App” เรียกดูBig Dataเด็กยากจนทั้งประเทศ
กสศ.โอนเงินช่วยนร.ยากจนพิเศษรอบแรก 4 แสนคน 26 ธ.ค.นี้ พร้อมขยายเวลารร.ยืนยันรายชื่อเพิ่ม 7–11 ม.ค.62 ป้องกันตกหล่น
วันที่ 25 ธันวาคม เวลา 09.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เยี่ยมชมนิทรรศการ “เปิดประตูสู่โอกาส ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา” และดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นระบบสารสนเทศเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หรือ “iSEE App” ของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา(กสศ.) ลงในไอแพดของนายกรัฐมนตรี เพื่อใช้เรียกดูข้อมูลรายงานสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำและจำนวนนักเรียนยากจนพิเศษได้ทุกสถานที่และทุกเวลา ทั้งในรูปแบบกราฟฟิก ตารางสรุปข้อมูลสถิติ ข้อมูลภูมิสารสนเทศของสถานศึกษาทั้ง 30,000 แห่ง รวมถึงผลการเบิกจ่ายงบประมาณของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ทั้งในระดับภาพรวมของประเทศ จังหวัด สถานศึกษา ไปจนถึงระดับผู้เรียนมากกว่า 500,000 คน
ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา(กสศ.) กล่าวว่า กสศ.วิจัยพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา(Information System for Equitable Education) หรือ iSEE ระบบนี้ถือเป็นเครื่องมือช่วยให้รัฐบาล“มองเห็น”และ “ติดตาม”ข้อมูลสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาได้อย่างชัดเจนทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทยเพื่อมอบนโยบายบูรณาการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำให้แก่หน่วยงานต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ให้มีเด็กเยาวชนคนใด ถูกทอดทิ้งจากความช่วยเหลือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกต่อไป โดยช่วงแรกระบบ iSEE จะทำหน้าที่รายงานข้อมูลจากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ภายใต้โครงการเงินอุดหนุนนักเรียนยากจนพิเศษอย่างมีเงื่อนไขที่ กสศ. และสพฐ. เริ่มดำเนินงานในปีการศึกษา 2561
ดร.ประสาร กล่าวว่า จากบทเรียนการจัดสรรงบประมาณเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาทั้งในและต่างประเทศ เช่น ประเทศบราซิลและเม็กซิโก พบว่าการใช้ระบบสารสนเทศสนับสนุนการจัดสรรเงินอุดหนุนผู้ยากจน และการกำหนด“เงื่อนไข”(Conditions) ในการรับเงินต่อเนื่อง จะช่วยให้มาตรการลดความเหลื่อมล้ำของรัฐบาลมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลตรงตามวัตถุประสงค์ของโครงการ รวมทั้งป้องกันความเสี่ยงในการรั่วไหลของงบประมาณ ซึ่งโครงการเงินอุดหนุนนักเรียนยากจนพิเศษอย่างมีเงื่อนไข (Conditional Cash Transfer) หรือโครงการ CCT ของกสศ.ได้นำแนวทางดังกล่าวมาใช้เพื่อวางแผนดำเนินงานอย่างรัดกุมเพื่อให้มั่นใจได้ว่า การจัดสรรเงินอุดหนุนของกสศ.สามารถป้องกันนักเรียนยากจนพิเศษไม่ให้หลุดออกจากการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพผ่านการจัดสรรงบประมาณตรงตามข้อมูลความต้องการของผู้เรียนเป็นรายบุคคลอย่างแท้จริง(Demand-side Financing)มิใช่การจ่ายแบบรายหัวทุกคนเท่ากันดังเช่นการถัวเฉลี่ยจ่าย หรือการกำหนดโควตาจัดสรรแบบในอดีตที่ผ่านมา
ประธานกองทุน กสศ. กล่าวอีกว่า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการคัดกรองความยากจนของนักเรียนและครอบครัวให้มีความเที่ยงตรง กสศ. สพฐ. และมหาวิทยาลัยนเรศวร ได้พัฒนาแอพพลิเคชั่น CCT สนับสนุนการคัดกรองรายได้ทางอ้อม (Proxy Means Test: PMT) ช่วยให้ครูสังกัด สพฐ. มากกว่า 30,000 คนทั่วประเทศที่เข้าร่วมโครงการทำหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลนักเรียนโดยประหยัดเวลาและทรัพยากรในการบันทึกจัดส่งข้อมูลประเภทต่างๆ ได้แก่ ข้อมูลรายได้ สถานะครัวเรือน และภูมิสารสนเทศของนักเรียนและครอบครัว รวมถึงครูใช้ในการติดตาม และบันทึกผลการปฏิบัติตามเงื่อนไขการรับเงินอุดหนุนของนักเรียนยากจนพิเศษได้อย่างมีประสิทธิภา พได้แก่ เงื่อนไขการรักษาอัตราการมาเรียนให้เกินกว่าร้อยละ 80 ตลอดปีการศึกษา2561 และเงื่อนไขน้ำหนักส่วนสูงนักเรียนยากจนพิเศษให้มีพัฒนาการที่สมวัยตามเกณฑ์มาตรฐาน
"กระบวนการทั้งหมดนี้ครูสามารถดำเนินการโดยไม่ใช้กระดาษแม้แต่แผ่นเดียว (Paperless) โดยครูและสถานศึกษาจะสามารถติดตามผลการจัดสรรเงินอุดหนุนของ กสศ. และ สพฐ. ของนักเรียนมากกว่า 500,000 คนได้เป็นรายบุคคลอย่างต่อเนื่องจนสำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐาน15 ปี ช่วยให้รัฐบาลและประชาชนผู้เสียภาษีทราบได้ว่าการลงทุนของรัฐผ่าน กสศ. สามารถสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาให้กับนักเรียนยากจนพิเศษได้อย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง"
ดร.ประสาร กล่าวด้วยว่า ล่าสุดกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย และกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนได้ประสานงานมาที่ กสศ. เพื่อขอจัดทำความร่วมมือเพื่อนำระบบข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และแอพพลิเคชั่นดังกล่าว รวมทั้งนวัตกรรมการจัดสรรเงินอุดหนุนนักเรียนยากจนอย่างมีเงื่อนไขนี้ไปสนับสนุนมาตรการดูแลนักเรียนในสถานศึกษาสังกัดของตนอีกราว2,000 แห่งในปีการศึกษา 2563 ต่อไป
ด้านนายสุภกร บัวสาย ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กล่าวถึงผลการบันทึกข้อมูลนักเรียนยากจนพิเศษที่ ล่าสุดเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2561 พบว่า มีจำนวนนักเรียนที่จะได้รับเงินอุดหนุนปัจจัยพื้นฐานนักเรียนยากจนพิเศษอย่างมีเงื่อนไขในรอบแรกจำนวน 397,493คน ขณะที่อีก 75,363 คน จาก 416 โรงเรียนยังยื่นเอกสารไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ เช่น ขาดภาพการประชุมรับรองรายชื่อรวมถึงเลขที่บัญชีธนาคาร ซึ่งกลุ่มนี้คุณครูกรุณารวบรวมเอกสารยื่นเพิ่มเติม และอีกประมาณ 6,655 โรงเรียน ยังไม่มีการบันทึกข้อมูลเข้ามา
ทางกสศ.ได้ขยายเวลาให้โรงเรียนกลุ่มหลังนี้บันทึกผลการรับรองข้อมูลนักเรียนยากจนพิเศษ (นร.05) ที่ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการสถานศึกษาแล้ว ผ่านระบบ CCTนร.05 ได้อีกครั้งระหว่างวันที่ 7 – 11 มกราคม 2562
“ทุกกระบวนการกสศ.ใช้เทคโนโลยีช่วยพิสูจน์ยืนยัน ตั้งแต่การค้นหา ตรวจสอบ การโอนเงิน การติดตามผลตามเงื่อนไข และยังผ่านการรับรองอย่างมีส่วนร่วมจากคณะกรรมการสถานศึกษา ชุมชนท้องถิ่น และผู้ปกครองรวมแล้วกว่า 150,000 คน เพื่อให้สังคมเชื่อมั่นในความโปร่งใสและประสิทธิภาพของการทำงาน ล่าสุด กสศ.ได้ประสานไปยังสพฐ.เพื่อส่งรายชื่อของโรงเรียนที่ยังไม่ได้บันทึกข้อมูลใดใดเลยทั้ง 6,655 แห่ง ข้อมูลดังกล่าวจะชี้เป้าให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประสานติดตามไม่ให้มีเด็กนักเรียนคนไหนเสียโอกาสในการได้รับเงินอุดหนุนครั้งนี้ สำหรับรายชื่อที่นักเรียนที่ผ่านการรับรองแล้วทั้ง 397,493 คน กสศ.จะเริ่มโอนเงินอุดหนุนให้ตั้งแต่วันที่ 26ธันวาคม 2561 โดยจะแล้วเสร็จภายใน7วัน ทั้งนี้จะดำเนินการให้กับจังหวัดที่มีจำนวนนักเรียนยากจนพิเศษมากที่สุดก่อน สำหรับรายชื่อ10จังหวัดแรก ได้แก่ แม่ฮ่องสอน ตาก นราธิวาส ยะลา น่าน สตูล เชียงใหม่ ปัตตานี นครราชสีมา มหาสารคาม” ผู้จัดการ กสศ. กล่าว