ธีรยุทธ บุญมี ชี้อนาคตการเมือง ประชาธิปไตยใต้อิทธิพลกลุ่มทุนใหญ่-บิ๊กตู่นั่งนายกฯต่อ
ศ.ธีรยุทธ ฟันธงบิ๊กตู่ได้นั่งนายกฯ ต่อ ชี้ที่ผ่านมารัฐบาลคสช.โฟกัสการพัฒนาประเทศผิดจุด ยันไทยไม่พร้อมอุตฯ 4.0 แนะให้ปฎิรูปแบกะดินบ้าง อย่าละเลยคนจนเมือง ระบุเรื่องจำเป็นสุดคือ การแก้ปัญหาคุณภาพการศึกษา
วันที่ 10 ธันวาคม ศ.ธีรยุทธ บุญมี นักวิชาการอิสระ กล่าวปาฐกถา 45 ปี 14 ตุลา ครั้งที่ 4 ในหัวข้อ “มองประเทศไทยหลังการเลือกตั้ง ปัญหาที่ใหญ่กว่าวิกฤติการเมือง” ณ ห้องประชุมอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา 16 สี่แยกคอกวัว ถ.ราชดำเนินกลาง
ตอนหนึ่ง ศ.ธีรยุทธ กล่าวถึงสังคมไทย ติดกับการมองปัญหาการเมือง โดยปล่อยปัญหาที่ใหญ่กว่าวิกฤติการเมืองดำเนินไป เกิดความเหลื่อมล้ำในทุกๆด้าน คอร์รัปชั่นขยายไปทุกระดับชั้น กลุ่มทุนใหญ่ขยายอำนาจผูกขาดทางเศรษฐกิจ คล้ายมีสถานะเกินรัฐบาลและกฎหมาย ขณะที่คุณภาพการศึกษาก็ลดลงอย่างน่าใจหาย
"เราเห็นการขยายตัวกลุ่มทุนใหญ่โดยไม่มีใครทักท้วง ส่วนชีวิตประจำวันของผู้คนก็ถูกควบคุมมากขึ้น ตื่นเช้า กลางวัน เย็น รับประทานอาหารจากร้านสะดวกซื้อ เพราะร้านแผงลอยเริ่มหายไป เรียกว่า คนไทยซีพี"
ศ.ธีรยุทธ กล่าวต่อว่า หากเราป้องกันได้ ต้องช่วยกันคิดจะควบคุมสิ่งกระทบวิถีชีวิตผู้คนอย่างไร เราไม่จำเป็นต้องเป็นเสรีนิยมเต็มที่เราสามารถตั้งกติกาขึ้นมาควบคุมวิถีชีวิตชุมชนได้ นี่คือปัญหาที่ใหญ่กว่า วิกฤติการเมือง
ส่วนการที่รัฐทุ่มเทกับโครงการยักษ์ EEC และเรื่อง 4.0 มากเกินไปนั้น นักวิชาการอิสระ กล่าวว่า "เราจะทิ้งทุกคนที่ตามไม่ทันอยู่ข้างหลัง โดยไม่รอใครแม่แต่คนเดียว"
"ผมคิดว่า ประเทศไทยยังไม่พร้อมเรื่องอุตสาหกรรม 4.0 อีกทั้งรัฐบาลประยุทธ์โฟกัสการพัฒนาผิดจุด เปลี่ยนเศรษฐกิจบริกร (ขั้นต้น)ให้เป็นเศรษฐกิจบริการ"
ศ.ธีรยุทธ กล่าวถึงข้อดีนโยบาย 4.0 แม้ทำให้ภาคธุรกิจตื่นตัว เกิดสตาร์ทอัพ แต่เราทำโดยไม่ปรับกระบวนทัศน์ใหม่เลย ทำให้นโยบายไม่ได้ผลจริง เครื่องมือไม่ทันสมัย เกิดผักชีโรยหน้า ซึ่งประเทศไทยก็ยังไม่พร้อมเป็นสังคมข้อมูลข่าวสาร ข้อมูลยังไม่ถูกเปิดเผย
"มีข้อมูลดัชนีวัดความพร้อมเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 หลายแบบ ประเทศไทยอาจมีแค่เรื่องโครงข่ายอินเตอร์เน็ตเท่านั้นที่พร้อม ขณะที่ทักษะของคนไทยเองยังไม่พร้อม"
ศ.ธีรยุทธ กล่าวเน้นย้ำถึงโครงการ EEC ว่า มีไม่กี่เรื่องที่มีศักยภาพ หรือเรากำลังทำนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่ขายต่างชาติ
ทั้งนี้ ศ.ธีรยุทธ แสดงความกังวลการทำแบบเร่งรีบ ไม่มีการตรวจสอบ หรือมีส่วนร่วมจากประชาชน ซึ่งหากรัฐบาลเฉลี่ยเป้าหมายอย่างเลือกสรร จะมีประโยชน์กว่า ดำรงไว้ 1.0 2.0 ที่มีคุณค่า มีความจำเป็นเอาไว้ เลือกทำ 3.0 4.0 อย่างเข้าใจและมั่นใจ
อย่างไรก็ตาม นักวิชาการอิสระ ได้แนะนำรัฐบาลหน้าด้วยว่า ประเทศไทยมีศักยภาพสตาร์ทอัพทางด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อุตสาหกรรมวัฒนธรรม บันเทิง อุตสาหกรรมด้านน้ำใจ อุตสาหกรรมอาหารการกิน ผลไม้ ยา สามารถส่งเสริมให้เป็นชั้นนำและเป็นเป้าหมายของชาติได้ แทนการไปเน้นส่งเสริมอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีอย่างเดียว
ศ.ธีรยุทธ กล่าวเพิ่มเติมถึงภาคสังคม พบว่า คนรวย 1% รวยล้นฟ้า คนจนท่วมประเทศ สังคมไทยมี 2 ชนชั้นครึ่ง เรียกว่า "รวยกระจุก จนกระจาย กลางกระจ้อน" คอร์รัปชั่นขยายไปทุกระดับชั้น เกิดจากโรคระบาดทางคุณธรรม มีแรงบีบคั้นความเหลื่อมล้ำทางรายได้ เกิดคอร์รัปชั่นแนวระนาบ Connection ซึ่งคอร์รัปชั่นได้ลงมาสู่ชนชั้นล่างแล้ว
"นี่อาจเป็นเหตุผล ทำไมประชานิยม คนชั้นล่างถึงติดประชานิยม เพราะเขารู้สึกถึงความเหลื่อมล้ำ ขณะที่คนชั้นกลางก็ป้องกันตัวเอง โดยสร้างเครือข่าย เกิดความนิยมสร้างเครือข่ายในแนวราบ นำสู่การคอร์รัปชั่นแบบคอนเนคชั่น"
สำหรับคนจนไทย ศ.ธีรยุทธ กล่าวว่า คนจนไทยจนอัตลักษณ์ถามว่า แล้วจะรักประเทศไทยได้อย่างไร จนทั้งด้านความหวัง สังคม พื้นที่ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม อาจเรียกรวมๆว่า จนทางอัตลักษณ์ ซึ่งอาจจะเป็นปัญหาการเมืองใหญ่สุดของประเทศ
"รัฐบาลประยุทธ์หรือรัฐบาลหน้า ต้องปฎิรูปแบกะดิบ้าง และทำให้ครบทุกภาค"
สุดท้ายอนาคตการเมืองของไทย ศ.ธีรยุทธ กล่าวว่า อาจเกิดประชาธิปไตยภายใต้อิทธิพลนายทุนใหญ่ผูกขาด ซึ่งมีอยู่ประมาณ 10 กลุ่ม บางกลุ่มคุมสนามบิน คุมเครื่องดื่มทุกชนิด คุมพลังงาน สินค้าเกษตร การขายปลีก-ส่ง เป็นต้น
"ทุนอิทธิพลเหล่านี้ ทำให้ไม่เกิดกฎหมายเข้าไปคุม จนเกิดเสรีนิยมแบบสุดขั้ว"
นักวิชาการอิสระ กล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า คสช.ตั้งใจสืบทอดอำนาจมานานแล้ว และพลเอกประยุทธ์ จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะระบบถูกออกแบบมาแบบนี้ ถ้าชนะการเลือกตั้งจะเจอปัญหารุมเร้า ความชอบธรรมจะต่ำ
อ่านปาฐกถาฉบับเต็ม:https://www.isranews.org/isranews/71847-miss-world-71847.html