300 บ.พ่นพิษอีก คนงานมอลลิเก้ฯถูกนายจ้างจับขังโกดังกดดันลาออก
สหภาพมอลลิเก้ฯโอดถูกจับเข้าทำงานโกดัง-กดดันลาออก นายจ้างอ้าง300บ.ทำขาดทุน ตัดเบี้ยขยัน ลดสวัสดิการ ปธ.กก.สมานฉันท์แรงงานชี้ผิด กม.เรียกร้อง ก.แรงงานเร่งไกล่เกลี่ย
สืบเนื่องจากกรณีสมาชิกและกรรมการสหภาพแรงงานบริษัทมอลลิเก้ เฮลท์แคร์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตเสื้อคลุมแพทย์ผ่าตัดอยู่ในจ.สมุทรปราการ และนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จ.ชลบุรี เข้าร้องเรียนต่อกระทรวงแรงงาน กรณีบริษัทมีการปรับเปลี่ยนสภาพการจ้างงาน ปรับลดสวัสดิการ โดยอ้างว่าแบกรับค่าแรง จากการขึ้นค่าแรง 300 บาทของรัฐบาลไม่ไหว นำไปสู่การกดดันให้ลูกจ้างเซ็นยอมรับการเปลี่ยนสภาพการจ้างงานและปรับลดสวัสดิการพนักงานลงรวมทั้งออกคำสั่งพักงานกรรมการและสมาชิกสหภาพแรงงาน กดดันให้ลูกจ้างยอมรับการปรับลดค่าชิ้นงานหรือเบี้ยขยัน ข่มขู่สมาชิกสหภาพฯหากไม่ยินยอมต้องถูกย้ายไปทำงานแผนกอื่นที่ไม่มีเบี้ยขยันหรือถูกเปลี่ยนกะการทำงาน ทำให้รายได้ลดลงจากเดือนละกว่า 17,000 บาทเหลือไม่ถึง 13,000 บาท ทำให้ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก
ต่อความคืบหน้าและรายละเอียดกรณีดังกล่าว วันที่ 14 มิ.ย.55 นางอุบลรัตน์ ภู่ทอง สมาชิกสหภาพแรงงานบริษัทมอลลิเก้ฯ นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จ.ชลบุรี เปิดเผย ศูนย์ข่าวเพื่อชมชน สำนักข่าวอิศราว่า การรุกคืบเพื่อจะเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างงานของโรงงานรุนแรงขึ้นทุกขณะ นอกจากไม่มีการปิดประกาศให้พนักงานทราบ ไม่มีการแจ้งให้รู้ล่วงหน้า ยังอ้างความชอบธรรมจากการบังคับให้ลูกจ้างเซ็นยินยอม นำไปสู่การลดเบี้ยขยันหรือค่าชิ้นงาน มีการลดสวัสดิการ ส่วนสมาชิกและกรรมการสหภาพที่ไม่เห็นด้วยถูกดดันทุกรูปแบบอย่างหนัก ถึงกับมีบางคนในบริษัทข่มขู่จะนำคนมาอุ้ม มีคำสั่งห้ามเข้าบริษัทเด็ดขาด สมาชิกสหภาพ 2 คนทนแรงกดดันไม่ไหวต้องลาออกไปโดยไม่ได้อะไรเลย ส่วนที่เหลือ 11 คนเป็นผู้หญิง 7 คน ชาย 4 คนถูกโยกย้ายจากแผนกผลิตไปทำงานในโกดังคลังสินค้า ผู้บริหารโรงงานอ้างได้รับความชอบธรรมที่จะดำเนินการได้ หากจะให้มีการปรับเปลี่ยนกลับคืนไปเหมือนเดิม พนักงานต้องฟ้องร้องเป็นรายบุคคล
“ก่อนหน้านี้สมาชิกสหภาพ 11 คนทำงานในแผนกแพ็คกิ้งฝ่ายผลิต ทำงานในห้องแอร์ ได้ค่าชิ้นงานเดือนละไม่น้อยว่า 7,000-8,000 บาท รวมค่าจ้างวันละ 210 บาทก็ทำให้อยู่ได้ แต่พอมีการเปลี่ยนสภาพการจ้าง หลายคนไม่เห็นด้วย ถูกกลั่นแกล้งทุกวิถีทาง มีการข่มขู่ กระทั่งดิฉันและเพื่อนๆถูกย้ายเข้ามาทำงานในโกดังคลังสินค้าที่เป็นงานหนัก อันตราย ไม่เหมาะกับงานที่ผู้หญิงจะมาทำ คนงานเคยให้บริษัทมาตลอด แต่ครั้งนี้บริษัททำมากเกินไป พวกเราถูกย้ายให้ทำงานกะเช้าอย่างเดียวในโกดังสินค้าเหมือนถูกจับขังไว้ไม่ให้เจอใคร ซึ่งจะมีการหารือกันอีกครั้งว่าจะเคลื่อนไหวอย่างไรเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมต่อไป” สมาชิกสหภาพแรงงานบริษัทมอลลิเก้ฯกล่าว
ขณะที่ นายชาลี ลอยสูง ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย กล่าวว่า หากมองที่พื้นฐานการจ้างงานตามกฎหมาย ลักษณะเช่นนี้โรงงานมีความผิด เนื่องจากไม่มีการปิดประกาศ ไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า ซึ่งการตัดเบี้ยขยัน ลดสวัสดิการทำไม่ได้ หากจะทำต้องได้รับการยอมรับจากคนงาน ถ้าทำโดยพละการถือว่าผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นความผิดฐานที่นายจ้างจ่ายค่าจ้างไม่ครบ ลูกจ้างสามารถไปฟ้องร้องศาลแรงงานได้ ซึ่งจะมีโทษตั้งแต่ปรับและจำคุก เรื่องนี้กระทรวงแรงงานทราบดีอยู่แล้ว เป็นปัญหาต้องเข้ามาไกล่เกลี่ยไม่ต้องรอให้ลูกจ้างไปฟ้องศาลหรือเข้ามาร้องเรียน เมื่อรู้ปัญหาต้องรีบดำเนินการ
“กระทรวงแรงงานต้องเข้าไปคุยกับนายจ้างเพื่อหาทางออกร่วมกัน ไม่ต้องรอให้ลูกจ้างไปฟ้องร้อง ซึ่งจะเป็นทางออกที่ดีกว่า เพราะการที่บริษัทกระทำการโดยไม่ขอความเห็นลูกจ้างเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายอยู่แล้ว ขึ้นอยู่ว่ากระทรวงแรงงานจะทำหรือไม่ทำ”
ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย กล่าวอีกว่า หากจะมีการปรับเปลี่ยนสภาพการจ้างงาน ตามรูปกฎหมายนายจ้างต้อง 1.ยื่นข้อเสนอต่อองค์กรแรงงานหรือสหภาพแรงงานเพื่อขอความเห็น ถ้าลูกจ้างเห็นด้วยก็ทำได้แต่ถ้าสหภาพหรือลูกจ้างไม่เห็นด้วยก็ทำไม่ได้ หรือสหภาพไม่เห็นด้วย ถ้าปรับเพิ่มหรือทำให้ดีขึ้นกว่าเดิมก็สามารถทำได้ แต่ถ้าปรับลดหรือมีการตัดทอนสิ่งที่มีอยู่ให้แย่กว่าเดิมทำไม่ได้ 2.ต้องปิดประกาศภายใน 30 วันถ้าไม่มีใครคัดค้านก็ทำได้ แต่ถ้ามีคนค้านก็ทำไม่ได้
“ถ้ามองในมิติการทำงาน คนที่รับค่าแรงเป็นชิ้นงานหรือรับเบี้ยขยัน เมื่อบวกรวมกับค่าแรง เขาได้มากกว่า 300 บาทอยู่แล้ว แต่เมื่อมองในมิติค่าแรง 300 บาทก็เท่ากับการที่บริษัทตัดตรงนั้นลดตรงนี้มาอุดให้ค่าแรงครบ 300บาท เหมือนเอาเงินกระเป๋าซ้ายเข้ากระเป๋าขวา ทำตัวเป็นนายจ้างศรีธนญชัยเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง กระทรวงแรงงานก็ต้องตอบด้วยว่าเรื่องค่าแรงจะให้ไปถึงไหน และต้องเร่งให้ความช่วยเหลือคนงานที่ถูกกลั่นแกล้งโดยเร็ว” นายชาลี กล่าว
ทั้งนี้ รายงานข่าวแจ้งว่า ตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ 2518 มาตรา 121 ระบุว่า ห้ามมิให้นายจ้าง (1) เลิกจ้าง หรือกระทำการใด ๆ อันอาจเป็นผลให้ลูกจ้าง ผู้แทนลูกจ้าง กรรมการ สหภาพแรงงาน หรือกรรมการสหพันธ์แรงงาน ไม่สามารถทนทำงานอยู่ต่อไปได้ เพราะเหตุที่ลูกจ้างหรือสหภาพแรงงาน ได้ชุมนุม ทำคำร้องยื่นข้อเรียกร้อง เจรจา หรือดำเนินการ ฟ้องร้อง หรือเป็นพยาน หรือให้หลักฐานต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน (2) เลิกจ้างหรือกระทำการใด ๆ อันอาจเป็นผลให้ลูกจ้างไม่สามารถทนทำงานอยู่ ต่อไปได้เพราะเหตุที่ลูกจ้างนั้นเป็นสมาชิกของสหภาพแรงงาน
(3) ขัดขวางในการที่ลูกจ้างเป็นสมาชิกหรือให้ลูกจ้างออกจากการเป็นสมาชิกของ สหภาพแรงงาน (4) ขัดขวางการดำเนินการของสหภาพแรงงาน หรือสหพันธ์แรงงาน หรือขัดขวาง การใช้สิทธิของลูกจ้างในการเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน (5) เข้าแทรกแซงในการดำเนินการของสหภาพแรงงาน โดยไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย มาตรา 158 นายจ้างผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 121 ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ