ดร.โกร่ง ชี้เข้าสู่ AEC ไม่เปลี่ยนกะทันหัน ยันไทยมีศักยภาพสูงเพียงพอ
นายกฯ เผยพร้อมเข้าสู่ AEC แล้ว 70% เตรียมทุ่มงบเร่งปรับโครงสร้างพื้นฐาน โลจิสติกส์ ระบบขนส่งจากทวาย เชื่อไทยเป็นประตูสู่ประเทศอื่นในอาเซียน นักลงทุนจะสนใจไทยมากขึ้น
วันที่ 11 มิถุนายน นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานแะกล่าวเปิดงานสัมมนา "วาระแห่งชาติ : เศรษฐกิจไทยยุคใหม่ในเศรษฐกิจประชาคมอาเซียน ที่จัดโดยการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ รวมกับหอการค้าไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ณ ห้อง Plennary Hall 2 ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์ เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนของภาคอุตสาหกรรมไทย ธุรกิจบริการไทย ธุรกิจเกษตรและอาหารไทย
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการทำงานร่วมกับภาคเอกชน เพื่อมุ่งสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยพร้อมจะใช้วาระนี้รับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน ซึ่งเล็งเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่ทุกประเทศอาเซียนจะต้องร่วมมือกัน โดยวางเป้าหมายสำคัญ คือ ประเทศอาเซียน 10 ประเทศ จะเป็นตลาดบนพื้นฐานการผลิตเดียวกัน ให้เศรษฐกิจมีการพัฒนาอย่างเสมอภาค โปร่งใส และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอาเซียน อีกทั้งบูรณาการทางเศรษฐกิจของอาเซียนให้เข้ากับเศรษฐกิจโลก
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มีความเชื่อมั่นว่า นักลงทุนจะหันมาสนใจลงทุนในประเทศไทย เนื่องจากเป็นประเทศที่มีความพร้อม และเป็นประตูสู่ประเทศอาเซียนอื่นๆ ด้วย อีกทั้ง แรงงานไทยยังมีฝีมือแรงงาน คุณภาพการผลิต และราคาที่เหมาะสมอันเป็นปัจจัยสำคัญในการลงทุน
"ช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยเตรียมพร้อมรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนประมาณร้อยละ 70 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของประเทศสมาชิกอื่นอยู่ที่ร้อยละ 56.4 ทั้งนี้ รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนและการส่งออกธุรกิจในทุกแขนง พร้อมเร่งสร้างภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็ง โดยเร่งปรับสมดุลเศรษฐกิจภายในประเทศให้แข็งแกร่งและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งนโยบายภาครัฐและภาคเอกชนให้สอดคล้องกัน เพื่อสร้างอำนาจต่อรองกับตลาดโลก"
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า รัฐบาลพร้อมทุ่มงบประมาณเพื่อปรับโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งระบบโลจิสติกส์ทั้งรถไฟทางคู่ จากจีน - ลาว - หนองคาย - กรุงเทพฯ และเชียงใหม่-กรุงเทพฯ และระบบขนส่งอีสต์เวสต์คอริดอร์ส จากเมืองทวาย ประเทศพม่าผ่านไทยไปยังลาวและเวียดนาม อีกทั้งฟื้น โครงการแลนด์บริดจ์ ที่จะเชื่อมการขนส่งจากทะเลอันดามันมายังอ่าวไทย ซึ่งได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดทำข้อมูลการเริ่มดำเนินการ
จากนั้น นายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ กล่าวถึง "อนาคตประเทศไทยในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน" ตอนหนึ่งว่า การเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในปี 2558 จะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน เนื่องจากข้อตกลงเป็นการทยอยดำเนินการต่อเนื่อง แต่สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงได้ชัดประการแรก คือการแข่งขันของบริษัทต่างๆ ในอาเซียนที่จะมีมากขึ้น โดยบริษัทที่มีศักยภาพมากจะอยู่ได้ ส่วนบริษัทที่มีศักยภาพน้อยจะหมดไป
"แต่ละประเทศมีการปรับกฎระเบียบการบริหารจากอุปสรรคการค้า ทั้งภาษีและไม่ใช่ภาษี เพื่อให้ภาคธุรกิจได้เปรียบในการแข่งขัน นอกจากนี้ ในด้านคุณภาพของแรงงานต้องมีศักยภาพสูงขึ้น รวมถึงระดับการศึกษาของบุคลากร อย่างไรก็ตามยืนยันว่าประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการแข่งขันในเวทีอาเซียน เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานของประเทศมีความเข้มแข็ง แม้อาจยังมีปัญหาในเรื่องการขนส่งอยู่บ้างก็ตาม"
นายวีรพงษ์ กล่าวด้วยว่า ต่อจากนี้ประเทศไทย จะมีความกดดันในด้านการใช้ภาษาอังกฤษมากขึ้น เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน อย่างไรเชื่อว่า การรวมตัวกันของอาเซียนจะทำให้ประเทศไทยได้ประโยชน์จากการเจรจาแบบทวิภาคีกับประเทศต่าง ๆ
