เครือข่ายประชาสังคมฯ แถลงการณ์จี้ปลดล็อกกัญชาให้เเพทย์เเผนไทย
เครือข่ายประชาสังคมฯ เเถลงการณ์จี้ปลดล็อกกัญชาให้เเพทย์เเผนไทย พร้อมชงถอดออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษทุกประเภท ขณะที่ก.พาณิชย์ต้องยกเลิกคำขอจดสิทธิบัตรสารสกัด
ตามที่สมาชิกสภานิติบญัญัติแห่งชาติกำลังดำเนินการแก้ไขกฎหมายเพื่อปลดล็อกกัญชาให้ สามารถใช้ได้ในทางการแพทย์แผนปัจจุบันและการแพทย์แผนไทย ในขณะที่กระทรวงสาธารณสุขกลับพยายามจำกัดการใช้สารสกัดกัญชาให้สามารถใช้ได้เฉพาะประโยชน์ทางราชการเท่านั้น ตัดสิทธิประชาชนทั่วประเทศไม่ให้ใช้ประโยชน์ และตัดสิทธิภูมิปัญญา แพทย์แผนไทยที่ใช้รักษาโรคภัยไข้เจ็บของประชาชนมาแต่ดั้งเดิม เท่ากับเป็นการผูกขาด โดยรัฐเป็นเบื้องต้น ในขณะที่กระทรวงพาณิชย์รับคำขอจดสิทธิบัตรสารสกัดของกัญชาและวิธีการใช้กัญชา และได้ประกาศโฆษณาไปเรียบร้อยบางส่วนแล้วนั้น ส่งผลทำให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้ป่วย ขัดขวางนวัตกรรมที่จะเกิดจากนักวิจัยไทยภูมิปัญญาแพทย์แผนไทย รวมทั้งสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า ล่าสุด วันที่ 16 พ.ย. 2561 เครือข่ายประชาสังคมกัญชาเพื่อการแพทย์สำหรับประชาชน อันประกอบไปด้วย มหาวิทยาลัยรังสิต สภาการแพทย์แผนไทย มูลนิธิชีววิถี (Biothai) กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรี ภาคประชาชน (FTA Watch) มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มูลนิธิสุขภาพไทย นักวิชาการด้านทรัพย์สินทางปัญญาและการเข้าถึงยา อดีตสมาชิกวุฒิสภา อดีตข้าราชการ ทหาร นักวิชาการ และประชาชนผู้สนับสนุนให้นำกัญชามาใช้ในทางการแพทย์ ได้มีการประชุมหารือร่วมกันแล้ว มีผลการประชุมสรุปออกมาเป็นข้อเรียกร้อง และขอแถลงการณ์ต่อรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ดังต่อไปนี้
ประการแรก ต้องไม่ให้มีการผูกขาดการใช้ประโยชน์จากกัญชาไว้เฉพาะทางราชการ หรือต่างชาติ หรือเอกชนรายใดรายหนึ่งโดยเด็ดขาด ต้องให้ประชาชนมีสิทธิใช้ ประโยชน์ทางการแพทย์เป็นการทั่วไป
ตามที่มหาวิทยาลัยรังสิต โดยวิทยาลัยเภสัชศาสตร์ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเดียวในประเทศ ไทย และเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของโลกที่ได้วิจัยสารสกัดกัญชาที่มีผลต่อเซลล์มะเร็งท่อน้ำดีในหลอดทดลอง ซึ่งโรคมะเร็งท่อน้ำดีนี้มีอุบัติการณ์เกิดขึ้นมาก รักษาได้ยาก และเสียชีวิตมากในประเทศไทยและประเทศในภูมภิาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยปรากฏ ผลงานวิจัยกัญชาสามารถทำให้เซลล์มะเร็งทอ่น้ำดีฝ่อตายได้เป็นผลสำเร็จ
นอกจากนี้ยัง สามารถพัฒนารับสเปรย์สารสกัดกัญชาสำหรับฉีดพ่นในช่องปากตามมาตรฐานทางการแพทย์ อีกทั้งยังสามารถสกัดสารสำคัญในกัญชาบริสุทธิ์ 100% ตัวอย่างดังที่ปรากฏ ข้างต้นสะท้อนความเป็นจริงที่ว่า ยังมีนักวิจัยไทยและเอกชนไทยอีกจำนวนมากเป็นผู้มีความสามารถในการพัฒนาและสร้างผลิตภัณฑ์เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ไว้ด้จนมีความปลอดภัย มีคุณภาพ และมีประสิทธิภาพในระดับสากล โดยฝีมือและนวัตกรรมของคนไทยเอง ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาต่างชาติแต่เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าห่วงอย่างยิ่งว่าบุคคลสำคัญบางคนในภาครัฐ มีความคิดและนโยบาย ที่จะผูกขาดการปลูก การผลิต การครอบครองและจำหน่ายกัญชาในทางการแพทย์ให้อยู่ เฉพาะหน่วยงานภาครัฐเพื่อประโยชน์ทางราชการเท่านั้น การกระทำดังกล่าวเป็นการกีดกันความสามารถของภาคเอกชนไทยและแพทย์แผนไทยที่พัฒนาไปมากแล้วอย่างไร้ คุณธรรมและเหตผุล ทำให้สูญเสียความมั่นคงทางยา และประการสำคัญยิ่งกว่านั้น คือ การผูกขาดจะสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ป่วยอีกจำนวนมาก
การกำหนดนโยบายให้หน่วยราชการเท่านั้นที่จะผลิตและจำาหน่ายกัญชาได้ ย่อมทำให้ไม่สามารถเกิดการแข่งขันในด้านคุณภาพและราคาเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วยได้ อีกทั้งยังทำให้ผู้ป่วยเสียโอกาสในการใช้กัญชาเพื่อทางการแพทย์ วิธีคิดการผูกขาดดังกล่าวย่อมไม่ใช่แนวทางเพื่อประโยชน์สูงสุดให้กับผู้ป่วยแต่ประการใด การผูกขาดทั้งระบบตั้งแต่การปลูก การผลิต การครอบครอง และจำหน่ายสารสำคัญของกัญชาเอาไว้แก่ภาครัฐ โดยอ้างว่า เพราะกัญชาเป็นยาเสพติด ทั้ง ๆ ที่มีงานวิจัยจำนวนมาก ให้ผลตรงกันว่ากัญชาเสพติดยากกว่าเหล้าและบุหรี่เป็นอย่างมาก แต่บุหรี่และเหล้ากลับ ไม่เคยอยู่ในบัญชีสิ่งเสพติดตามกฎหมายยาเสพติดให้โทษเลย และกัญชาก็ยังเป็นพืช สมุนไพรทที่มีประโยชน์ทางการแพทยอ์ย่างมหาศาลอีกด้วย
ภายใต้ข้อเท็จจริงนี้จึงสมควร ถอดกัญชาออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษทุกประเภท เพื่อทำให้กัญชาอยู่ในฐานะเป็นพืช สมุนไพรที่มีการควบคุมอย่างเหมาะสมเท่านั้น และสามารถนำมาใช้ในทางการแพทย์ให้ได้ อย่างมีความคล่องตัวมากขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ดังนั้นการผูกขาดการใช้ประโยชน์จากกัญชาทงั้ระบบ เอาไว้แก่ภาครัฐแต่เพียงผู้เดียว จึงเป็นการเปิดช่องว่างทำให้เกิดการวิ่งเต้นเอื้อผลประโยชน์ในการนำเข้ากัญชาหรือสารสกัดกัญชา ทั้งการกำหนดพันธุ์กัญชา การเพาะปลูก เครื่องมืออุปกรณ์การสกัด เทคโนโลยี และซอฟแวร์ต่าง ๆ จากต่างประเทศ อีกทั้งรัฐยังเป็นผู้กำหนดราคาซื้อและราคาขายให้กับ ประชาชนเองแต่เพียงรายเดียวโดยปราศจากการแข่งขัน รวมทั้งยังมีความสุ่มเสี่ยงทำให้เกิด การวิ่งเต้นภาครัฐเพื่อให้เอกชนกลุ่มทุนรายใดรายหนึ่งได้รับสัมปทานผูกขาดการเพาะปลูก การผลิต หรอืการสกัดกัญชาต่อไปในอนาคตได้อีกด้วย
เครือข่ายประชาสังคมกัญชาเพื่อการแพทย์สำหรับประชาชน จึงขอคัดค้านและประณาม ร่างแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวเนื่องกับกัญชาซึ่งมีแนวคิดและเป้าหมายเพื่อที่จะผูกขาดการครอบครองและจำหน่ายกัญชาเอาไว้แก่หน่วยงานภาครัฐอย่างเดียว เพราะเป็นแนวทางที่สร้างความเดือดรอ้นให้แก่ผู้ป่วยและประชาชน และยังเปิดช่องทำให้เกิดการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง และคัดค้านขบวนการวางแผนผูกขาดโดยภาครัฐเพื่อเป็นบันไดต่อยอดที่จะเกิดการผูกขาดโดยต่างชาติ หรือเอกชนรายใดรายหนึ่งในอนาคตต่อไป
ทั้งนี้ ขอเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการให้ผู้ป่วยสามารถเพาะปลูกเพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์สำหรับตัวเองได้ ให้ประชาชนและเอกชนสามารถขออนุญาตในการเพาะปลูก เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์เป็นการทั่วไปได้ ผลิตและแปรรูปได้ และส่งออกเพื่อจำหน่ายในต่างประเทศได้
ประการที่สอง ยกเลิกคำขอการจดสิทธิบตัรกัญชาทุกฉบับโดยทันที เนื่องด้วยในปัจจุบัน ได้มีชาวต่างชาติยื่นจดสิทธิบัตรสารสำคัญในกัญชาในประเทศไทยไปแล้วจำนวนไม่ต่ำกว่า 11 ฉบับ มีคำขอบางส่วนได้มีการผ่านขั้นตอนการประกาศโฆษณาไปแล้ว โดยมีการอ้างว่าการอนุญาตให้จดสิทธิบัตรนั้นเป็นไปตามต่อความตกลงระหว่างประเทศ ซึ่งไม่เป็นความ จริง แต่การปล่อยให้มีการรับคำขอจดสิทธิบัตรกัญชาเช่นนี้ย่อมเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและขัดต่อรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน
เพราะในขณะที่วิทยาลัยเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้ติดต่อประสานงานเพื่อขอจดอนุสิทธิบัตรนวัตกรรมการสกัดกัญชา แต่กลับไม่ได้รับอนุญาตให้จดสิทธิบัตรได้ โดยอ้างว่า กัญชายังอยู่ในบัญชียาเสพติด การเลือกปฏิบัติเช่นนี้ย่อมเป็นการกีดกันคนไทยและเอื้อประโยชน์ให้เฉพาะนักวิจัยและกลุ่มทุนกัญชาต่างชาติเท่านั้น หากยิ่งนานวันไปก็ยิ่งจะทำให้ ประเทศไทยไมส่ามารถพึ่งพาตนเองได้เพราะติดสิทธิบัตรของชาติอื่น และสุดท้ายก็จะต้องนำเข้ากัญชาจากต่างชาติแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งก่อให้เกิดผลเสียหายต่อประเทศชาติ และประชาชน
ทั้งนี้ เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่า คำขอจดสิทธิบัตรสารสกัดกัญชานั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะเป็นการจดสิทธิบัตรที่เป็นสารสกัดจากพืชและการใช้เพื่อการรักษาโรค ที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดี อนามัยหรือสวัสดิภาพของประชาชน ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตามมาตรา 5 มาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522
จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้นจึงขอให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการยกเลิกคำขอการจดสิทธิบัตรสารสกัดและการใช้กัญชาเพื่อการรักษาโรคทั้งหมดโดยทันที และพิจารณาคำขอสิทธิบัตรตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ซึ่งมหาวิทยาลัยรังสิตจะรับหน้าที่ในการดำเนนิการทางกฎหมาย ทุกกระบวนการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนต่อไป
ประการที่สาม หยุดสร้างอุปสรรคขัดขวางการสร้างนวัตกรรมและการวิจัย และใช้ข้ออ้างการวิจัยเพื่อจำกัดใช้กัญชาในทางการแพทย์
ขอให้รัฐบาลแสดงความจริงใจเห็นแก่ประโยชน์ของชาติด้วยการกำหนดนโยบายส่งเสริมสนับสนุนให้ทุกมหาวิทยาลัยทั้งรัฐ และเอกชนสามารถวิจัยกัญชาในทางการแพทย์ได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องสร้างขั้นตอนให้กลายมาเป็นอุปสรรคในงานวิจัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวิจัยในมนุษย์ของทุกมหาวิทยาลัยนั้นมีขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการจริยธรรมในวิจัยอยู่แล้ว จึงควรสนับสนุนให้มีการวิจัยในมนุษย์ให้ได้โดยเร็วที่สุด
นอกจากนี้ขอให้รัฐบาลแสดงความจริงใจขยายข้อบ่งชี้ในการใช้กัญชาในทางการแพทย์ให้ มากขึ้นและให้นำมาใช้ได้โดยทันทีด้วยดุลยพินิจของแพทย์ โดยไม่ต้องวิจัยซ้ำซ้อนจากที่มีการวิจัยไปแล้วในต่างประเทศ แม้แต่ตำรับยาการแพทย์แผนไทยที่มีการเข้ากัญชา ซึ่งเคยมีการ ใช้ในมนุษย์มาแล้วหลายร้อยปีต้องสามารถนำกลับมาใช้ได้โดยทันที ตามแนวทางการประกาศขององค์การอนามัยโลกที่ให้ใช้ตำรับยาแผนโบราณที่มีอยู่แต่เดิมได้ หากเพียงแค่ไม่มีสารพิษและมีความเสถียรของตัวยาโดยไม่ต้องทำการวิจัยเพิ่มเติม ส่วนการวิจัยตำรับยาไทยในรูปเภสัชสมุนไพรยุคใหม่จะต้องเป็นไปเพื่อการพัฒนาเท่านั้น มิใช่เป็นข้ออ้างเพื่อห้ามใช้ตำรับยาไทยทที่มีการเข้ากัญชาที่มีมาแต่ในอดีตโดยเด็ดขาด
ประการที่สี่ ปลดล็อกการใช้กัญชาให้แพทย์แผนไทย เพื่อสืบสานมรดกการแพทย์ภูมิ ปัญญาพระราชทานจากบูรพมหากษัตริย์ไทย
สืบเนื่องมาจากการแพทย์แผนไทยได้มีการ ใช้กัญชาในทางการแพทย์มาเป็นเวลานานหลายร้อยปี โดยบูรพมหากษัตริย์ไทยได้มีการพระราชทานตำรับยาไทยจำนวนมากที่มีการเข้ากัญชาแก่ประชาชนทั้งหลาย ดังตัวอย่าง ปรากฏเป็นหลักฐานอย่างในศิลาจารึกรอบวัดเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร (วัด โพธิ์) โดยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานภูมิปัญญาตำรับยาทุกตำรับ ซึ่งรวมถึงตำรับยาที่มีการเข้ากัญชาให้แก่ราษฎรทุกคน มิได้ให้ไว้เพื่อผูกขาดอยู่กับรัฐ หรือดำเนินการไปเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มทุนใดกลุ่มทุนหนึ่ง
ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 กำหนดเอาไว้ว่า “มาตรา 55 รัฐต้องดำเนินการให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณสขุที่มีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึง เสริมสร้างให้ประชาชนมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค และส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการพัฒนาภูมิปัญญาด้านแพทย์แผนไทยให้เกิดประโยชน์สูงสุด”
ดังนั้นเมื่อรัฐบาลจะตัดสินใจให้กัญชาสามารถนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์แล้ว การ กำหนดให้ใช้เฉพาะสารสกัดสำคัญตามแนวทางของแพทย์แผนปัจจุบันอย่างเดียว โดยมิให้การแพทย์แผนไทยได้ใช้กัญชาในตำรับยาไทยด้วยนั้น เป็นการกระทำขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญอย่างชัดแจ้ง ดังนั้น จึงขอเรียกร้องให้แพทย์แผนไทยสามารถใช้กัญชาตาม ตำรับยาแพทย์แผนไทยให้เกิดประโยชน์สูงสุด
เครือข่ายประชาสังคมกัญชาเพื่อการแพทย์สำหรับประชาชนได้เล็งเห็นความสำคัญของภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยซึ่งมีมานานหลายร้อยปี ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกหมู่เหล่า มาร่วมกันสนับสนุนเรียกร้องให้รัฐบาลและสภานิติบัญญัติแห่งชาติแสดงความจริงใจ ดำเนินการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้กัญชาสามารถนำมาใช้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์โดยเร็วที่สุด ทั้งการแพทย์แผนปัจจุบันและการแพทย์แผนไทย เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วยทุกคนที่เฝ้ารอคอยความหวังอยู่เป็นจำนวนมาก และช่วยกันปกป้องภูมิปัญญาการใช้กัญชาทางการแพทย์ที่พระราชทานจากบูรพมหากษัตริย์ไทยเพื่อประโยชน์ของราษฎรทุกคน อย่าให้ใครกีดกันเพื่อประโยชน์ของบริษัทยาข้ามชาติ อย่าให้ใครผูกขาด หรือผูกขาดเพื่อเตรียมการ ให้สัมปทานกับกลุ่มทุนใด และอย่าให้ใครขายชาติ ทำลายชาติเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน
ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต
น.ส.รสนา โตสิตระกูล กรรมการมูลนิธิสุขภาพไทย
พลเรือเอกชาญชัย เจริญสุวรรณ นายกสภาการแพทย์แผนไทย
นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผอ.มูลนิธิชีววิถี
น.ส.กรรณิการ์ กิตติเวชกุล รองประธานกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรี ภาคประชาชน (FTA Wach), มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค