อะไรจะเกิดขึ้นกับ 'ปชป.' หากคนชื่อ 'อลงกรณ์ พลบุตร' ได้เป็นหัวหน้าพรรค?
"...ผมขอถามกลับว่าทำไมสังคมเห็นภาพของพรรคประชาธิปัตย์กลับไปกลับมา ก็เพราะเราไม่ได้วางจุดยืนของพรรคเอาไว้ชัดเจน และปฏิบัติตามนั้น สังคมขณะนี้ก็สับสนกับจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ก่อนหน้านี้ดูว่าจะยืนอยู่ฝ่ายรัฐบาล แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะยืนอยู่ตรงข้าม ดังนั้นถ้าผมเป็นหัวหน้าพรรคจะไม่มีเหตุการณ์ลักษณะเช่นนี้ขึ้น เพราะอย่างที่บอกว่าผมได้วางจุดยืนเอาไว้ชัดเจนแล้ว..."
การหยั่งเสียงเพื่อเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่ ของผู้สมัครชิงเก้าอี้ 3 ราย ได้แก่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคคนเก่า ดีกรีอดีตนายกรัฐมนตรี นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ฉายา ‘มือปราบจำนำข้าว’ อดีต ส.ส.พิษณุโลก ผ่านการผลักดันของ ‘ถาวร เสนเนียม’ นักการเมืองมากบารมี จ.สงขลา และนายอลงกรณ์ พลบุตร อดีตรองหัวหน้าพรรค และอดีตรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) โดยเปิดสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ทั่วประเทศสามารถโหวตได้ภายในวันที่ 1-5 พ.ย. 2561 นี้
ปฏิเสธไม่ได้ว่า การเลือกตั้งหัวหน้า ‘พรรคสีฟ้า’ ครั้งนี้ จะเป็นจุดเปลี่ยนทางประวัติศาสตร์ กำหนดทิศทางพรรคในรูปแบบใหม่ หลังจากนายอภิสิทธิ์ ครองเก้าอี้มายาวนานกว่า 13 ปี ขณะเดียวกันพรรคประชาธิปัตย์ถูกหลายฝ่ายวางหมากไว้เป็น ‘ตัวแปรสำคัญ’ ในการจัดตั้งรัฐบาล
ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ได้มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ ‘อลงกรณ์ พลบุตร’ หนึ่งในผู้ท้าชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้สัมภาษณ์ นพ.วรงค์ไปแล้ว (อ่านประกอบ:วรงค์ เดจกิจวิกรม:ภารกิจ ปชป.โฉมใหม่ ประชาชน‘สัมผัสได้’ กระโจนสู้ศึกเลือกตั้ง) และปัจจุบันอยู่ระหว่างติดต่อขอสัมภาษณ์ นายอภิสิทธิ์ ให้ครบถ้วนรอบด้านทุกฝ่าย
นับจากบรรทัดนี้เป็นต้นไป คือ คำตอบจาก อลงกรณ์ พลบุตร เกี่ยวกับบทบาททางการเมืองของ ตนเอง และพรรคประชาธิปัตย์ ในช่วงการเมืองยุคปัจจุบันที่กำลังถูกจับตามองอยู่ในขณะนี้
@ บทบาททางการเมืองของ“อลงกรณ์” ถัดไปหลังจากนี้ ในพรรคประชาธิปัตย์
-หลังจากนี้ ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใดแต่ผมก็เป็นส่วนหนึ่งของพรรค ก็คงต้องทำงานเพื่อนำไปสู่เป้าหมายในการช่วยพรรคให้เป็นสถาบันทางการเมืองตามแนวทางปฏิรูปพรรคเพื่อนำไปสู่ชัยชนะที่ยั่งยืน ทั้งในด้าน 1.การพัฒนาบุคลากรของพรรค 2.การตั้งสาขาพรรคตามจังหวัดต่างๆทั่วประเทศ เพื่อวางรากฐานสำคัญสำหรับการที่ประชาชนและสมาชิกพรรคจะมีส่วนร่วมต่ออุดมการณ์ของพรรค 3.การช่วยรณรงค์หาเสียงให้พรรค เพราะว่าผมไม่มีสิทธิ์ที่จะลงเลือกตั้งแล้ว
@ ประสบการณ์ สปท.ก่อนเข้าสู่พรรคประชาธิปัตย์
-การที่ผมไปเป็น สปท. และสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ช่วยการทำงานอย่างมาก เพราะได้เข้าไปเห็นปัญหาต่างๆของประเทศ ได้ไปเห็นทางแก้ แนวทางการจัดการต่างๆ และ 4 ปีที่ผ่านมา ผมได้ไปทำงานบรรยายผู้บริหารต่างๆ ทั้งหมดนี้ก็ล้วนทำให้เราต้องอัพความรู้เพื่อให้ทันโลก และสามารถนำไปพัฒนาสู่การเป็นนโยบาย และกฎหมายใหม่ๆเพื่อที่จะให้พัฒนาประเทศ ต่อไปได้ ซึ่งนี่ถือว่าเป็นสิ่งที่นักการเมืองน้อยคนมาก จะได้มีโอกาสเข้าไปสัมผัส
ผมมองว่าการเมืองที่ผ่านมาแม้จะใกล้เข้าสู่การเลือกตั้งแล้ว แต่ประเด็นและปัจจัยที่ทำให้ประเทศขัดแย้งก็ยังคงอยู่ ทั้งด้านการแบ่งฝ่าย แบ่งพวก วิธีการเล่นการเมืองแบบเก่าๆ ปัญหาการทุจริต ปัญหาปากท้องของประชาชน แต่ผมเชื่อมั่นในแนวทางการปฏิรูปมาตลอด ดังนั้นก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ผมได้กลับมาที่พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อจะแก้ปัญหาในเรื่องเหล่านี้ ผมไม่ได้คิดถึงแค่ความเปลี่ยนแปลงในพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น แต่คิดถึงความเปลี่ยนแปลงเพื่อจะแก้ไขปัญหาให้ประเทศชาติด้วย ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์มีศักยภาพที่จะเป็นหัวเรือใหญ่เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศ
@ ปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไขให้เร็วที่สุด ถ้าหากเข้าไปเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
-อย่างที่บอก อาทิในเรื่องฐานะทางเศรษฐกิจของประชาชน อย่างในจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นจังหวัดที่มีการจัดกิจกรรมต่างๆอย่างมากมาย แต่ถามว่าทำไมคนเกือบครึ่งจังหวัดยังอยู่ในเกณฑ์ความยากจนอยู่ หรือโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ก็ดูเป็นโครงการใหญ่ แต่ท้ายก็กลับมีปัญหาสำคัญอย่างการลงทุนที่กระจุกตัว และยังเป็นโมเดลที่ต้องพึ่งพานวัตกรรมจากต่างประเทศเพื่อเข้ามาช่วยเหลืออยู่มาก
ดังนั้นถ้าจะแก้ปัญหา ควรจะต้องมีการพัฒนาอย่างสมดุลให้เกิดขึ้น ด้วยการสร้างโซนเศรษฐกิจ ไม่ใช่แค่เศรษฐกิจแบบเมื่อก่อนที่ไปจมอยู่แค่ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งเท่านั้น
หรือปัญหาเรื่องการรวยกระจุกจนกระจาย ตอนนี้ก็มีปัญหา แม้ว่าเศรษฐกิจมหภาคจะมีภาพที่ดี แต่ก็ไม่สามารถกระจายรายได้อย่างทั่วถึง ดังนั้นผมมองว่าถ้าจะแก้ปัญหาตรงนี้ได้ ก็จะต้องมีกฎหมายที่แก้ไขปัญหาไม่ให้บริษัทเข้าไปผูกขาดเหนือตลาดเกิน 30 เปอร์เซ็นต์
ซึ่งผมเชื่อว่าทีมเศรษฐกิจชุดของผมนั้นมีความสามารถเหนือกว่าทีมเศรษฐกิจจากชุดไหนๆ รวมไปถึงทีมเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์ชุดนี้ด้วยในการแก้ไขปัญหาของประชาชนคนไทย
@ พรรคประชาธิปัตย์กับท่าทีในการจับขั้วและการแสดงจุดยืนทางการเมืองในอนาคตหลังจากนี้
-ตรงนี้ผมว่าเป็นปัญหาใหญ่ ที่ทุกคน ทุกคนเผชิญอยู่ ดังนั้นสำหรับพรรคประชาธิปัตย์ ผมคิดว่าต่อจากนี้จะต้องมีจุดยืนทางการเมืองที่เป็นหลัก ที่ผ่านมาผมก็เลยประกาศ 4 จุดยืนทางการเมืองไป 4จุดยืน ถ้าหากผมได้เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
1.พรรคประชาธิปัตย์จะต้องไม่บอยคอตการเลือกตั้ง และพรรคประชาธิปัตย์จะต้องไม่สร้างความขัดแย้งจนนำไปสู่การการสูญเสียชีวิตบนท้องถนนอีกแล้ว และจะต้องยึดมั่นให้รัฐสภาเป็นที่ๆจะแก้ไขปัญหาของประเทศ
2.จุดยืนต่อตั้งรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์ที่ผ่านมายึดแนวทางการเมืองสีขาว และเป็นสุภาพบุรุษมาตลอด ดังนั้นภายหลังจากการเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์จะต้องไม่เข้าไปดำเนินการเพื่อที่จะทำลายโอกาสของพรรคการเมืองที่ได้คะแนนเสียงเป็นอันดับหนึ่ง เพราะเราต้องเคารพเสียงของประชาชน แต่ในทางกลับ พรรคการเมืองที่ชนะเป็นที่หน่งถ้าจัดตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ ถ้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นที่ 2 ก็จะต้องเข้าไปใช้สิทธิในการจัดตั้งรัฐบาล
3.สำหรับผมแล้ว ยังไงผมก็ไม่รับนายกรัฐมนตรีคนนอก เพราะจะทำให้เกิดวิกฤตขึ้นมาอีก ดังนั้นการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีในครั้งถัดไปนั้นก็ควรจะโหวตเลือกกันในการประชุมรัฐสภาเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีในครั้งแรกเลย ไม่ใช่ต้องมาโหวตในครั้งที่ 2 ที่รายชื่อคนนอกบัญชีเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี
และ 4.พรรคประชาธิปัตย์จะต้องพร้อมที่จะทำหน้าที่ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลได้ทั้งหมด
เมื่อก่อนขั้วขัดแย้งการเมืองจะเป็นระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับฝั่งขั้วพรรคเพื่อไทย ตอนนี้กลายเป็นทหารกับพรรคเพื่อไทยแทน
ตรงนี้ผมขอถามกลับว่าทำไมสังคมเห็นภาพของพรรคประชาธิปัตย์กลับไปกลับมา ก็เพราะเราไม่ได้วางจุดยืนของพรรคเอาไว้ชัดเจน และปฏิบัติตามนั้น สังคมขณะนี้ก็สับสนกับจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ก่อนหน้านี้ดูว่าจะยืนอยู่ฝ่ายรัฐบาล แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะยืนอยู่ตรงข้าม ดังนั้นถ้าผมเป็นหัวหน้าพรรคจะไม่มีเหตุการณ์ลักษณะเช่นนี้ขึ้น เพราะอย่างที่บอกว่าผมได้วางจุดยืนเอาไว้ชัดเจนแล้ว
และอีกประการหนึ่งถ้าการเมืองยังเป็นแบบเดิมๆ สังคมก็จะมองว่ามีฝ่ายสามก๊ก ทักษิณ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และก็ฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งผมคิดว่าต้องเลิกได้แล้ว ถ้าผมเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ การเมืองจะต้องมีแค่ 2 ข้างคือข้างหนึ่งเป็นสีขาว และการเมืองสีเทา พรรคประชาธิปัตย์จะต้องเป็นผู้นำในฝ่ายการเมืองสีขาว และจะต้องสร้างทางเลือกที่ดีและเกิดประโยชน์กับสังคมให้มากที่สุด เพื่อจะสร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองให้เกิดขึ้น
โดยการแปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัยกฎเหล็ก 5 ข้อที่ผมได้เคยบอกไปแล้วก็คือ 1.ต้องไม่มีการซื้อเสียงหรือทุจริตในการเลือกตั้งโดยเด็ดขาด 2. ต้องไม่หาเสียงโจมตีใส่ร้ายคนอื่นโดยเด็ดขาด 3. ต้องหาเสียงอย่างสุภาพบุรุษ แข่งด้วยนโยบายวิสัยทัศน์และความสามารถในการบริหาร 4.ต้องไม่รับทุนใต้โต๊ะในการเลือกตั้งโดยเด็ดขาด เพื่อไม่ต้องเป็นหนี้ต่างตอบแทนและทุจริตฉ้อฉล และ 5.ต้องไม่ต่อสู้นอกระบบ ยึดมั่นระบบรัฐสภาในระบอบประชาธิปไตย และ ต้องไม่คอรัปชั่น ซึ่งผมเชื่อว่าการยึดในกฎเหล็ก 5 ข้อดังกล่าวนี้จะแก้ไขปัญหาภาพพจน์ที่สังคมมองพรรคประชาธิปัตย์ในแง่ลบได้
@ การต่อสู้กับกระแสวิจารณ์ว่าสมัครเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เพื่อต้องการหาทางกลับเข้าพรรค
-จริงๆในประเด็นนี้ช่วงที่ผมกลับเข้ามาที่พรรคประชาธิปัตย์ในช่วง 10 วันแรก ก็ได้มีการหารือกันแล้ว จนกระทั่งอดีต ส.ส.สาขาพรรคเขาก็ยอมรับในข้อเท็จจริงเหล่านี้ได้แล้ว ก็คือทำไมผมจะต้องกลับเข้ามาที่พรรคประชาธิปัตย์ กลับมาทำงานในส่วนที่ถือว่ายากสุดของชีวิต ในเมื่อผมมีทางเลือกอื่นๆที่จะไปได้อีกเยอะ มีคนคาดหมายมากมายว่าผมจะได้เป็นวุฒิสมาชิกอย่างแน่นอน และอาจจะได้ตำแหน่งที่สูงที่สุดของวุฒิสภาด้วย และในตอนนี้ก็มีพรรคการเมืองที่ตั้งใหม่มากมาย ผมก็สามารถไปอยู่ตรงนั้นได้ โดยมีหลายพรรคเขาก็มาเชิญให้ผมไปเป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งมันก็น่าจะสบายกว่าสำหรับผมที่จะต้องกลับมาอยู่ตรงนี้ ในช่วงเวลา 3 ปีที่เกี่ยวข้องกับอำนาจและผลประโยชน์ ถือว่าเป็นเรื่องที่ง่ายมากสำหรับตำแหน่งเกือบสูงจะสุดของแม่น้ำ 5 สายที่จะไปสานสัมพันธ์หรือไปรับใช้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
แต่ว่าในช่วงเวลาตลอด 3 ปีที่ผ่านมาผมไม่เคยไปพบใครไม่ว่าจะที่บ้านหรือที่ค่ายทหารแม้แต่ครั้งเดียว ผมบอกมาตลอดว่าต้องการที่จะทำงานเพื่อปฏิรูป ตามแบบที่ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ที่เคยทำงานกับจอมพลสฤษฎ์ ธนะรัชต์มาหลายปี แต่ทุกคนก็ยอมรับในหลักการณ์ว่าทำงานเพื่อประเทศชาติ ซึ่งผมก็ทำตามอุดมการณ์เดียวกับ ดร.ป๋วย ที่เป็นอาจารย์ของผม
"ดังนั้นก็ต้องถามกลับไปยังคนที่ตั้งคำถามเหล่านี้กับผมด้วยว่าถ้าวันนึงเขาได้เข้าไปอยู่กับอำนาจแล้ว เขาจะสามารถดำรงฐานะได้แบบผมหรือไม่ อยากให้คนที่คิดว่าผมกลับมาที่พรรคประชาธิปัตย์เพราะว่าไม่มีทางไป เขากลับไปคิดใหม่ด้วย"
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/