70 ปี พระมหากรุณาธิคุณปกเกล้าชาวไทย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ครองสิริราชสมบัติ 70 ปี ในระยะ 70 ปี ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมากมาย รวมทั้งทรงผ่านวิกฤติการณ์ต่างๆ พระองค์ทรงสร้างและพัฒนาพระกรณียกิจ บทบาทหน้าที่พระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย จนมีลักษณะเฉพาะที่เป็นพิเศษ ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่เคยมีที่ไหนมาก่อน ไม่มีผู้ใดหรือผู้ใดเหมือน เป็นคุณูปการกับประเทศชาติอย่างเหลือล้น
วันที่ 13 ตุลาคม 2561 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดเสวนาเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร "70 ปี พระมหากรุณาธิคุณปกเกล้าชาวไทย" ณ หอแสดงดนตรี อาคารศิลปวัฒนธรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์ จรัส สุวรรณเวลา อดีตอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บรรยายในหัวข้อ "พระมหากุรณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอุลยเดช บรมนาถบพิตรกับพสกนิกรชาวไทย”
ตอนหนึ่ง ศาสตราจารย์กิตติคุณ นพ.จรัส ระบุว่า พระบารมีที่สำคัญมาก คือ พระสัจจะบารมี ทรงพูดจริง ทำจริง และจริงใจ หลายคนอาจไม่รู้สึกว่า คำว่า การบริจาคโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัยนั้น เป็นของธรรมดาที่เราได้ยินประจำ แต่นี่เป็นปรากฎการณ์พิเศษมากที่เกิดขึ้นในเมืองไทย เมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมเยียนราษฎร ประชาชนควักธนบัตรที่อยู่ในกระเป๋าออกมาสิบบาท ยี่สิบบาท ถวาย นี่คือปรากฎการณ์ที่ไม่มีที่อื่นในโลก ไม่มีพระมหากษัตริย์พระองค์ไหนได้รับความศรัทธาในลักษณะแบบนี้
ศาสตราจารย์กิตติคุณ นพ.จรัส กล่าวถึงพระวิริยะบารมี ทรงทำกิจกรรมทั้งหลาย พระราชดำริในโครงการทั้งหลายกว่า 4 พันโครงการ หากลงมองให้ดีๆ จะเห็นว่า โครงการพระราชดำริไม่ใช่ของง่าย ใช้เวลาหลายปีกว่าจะสำเร็จ เช่น โครงการฝนหลวง เกิดขึ้นปี 2498 ทำการทดลองลักษณะต่างๆ จนถึงปี 2512 ถึงเกิดฝนห่าแรกขึ้นใช้เวลาถึง 14 ปี ฉะนั้นงานทั้งหลายต้องมีความเพียรถึงสำเร็จได้ แม้แต่โครงการไบโอดีเซลเริ่มทดลอง ปี 2526 แต่เคยรับสั่งใช้น้ำมันที่มาจากพืช ทรงเอ่ยถึงเรื่องนี้ปี 2504 กว่าจะออกมาและใช้ใส่รถวิ่งได้ปี 2543 ใช้เวลา 17 ปี และแม้แต่คลองลัดโพธิ์ ใช้เวลา 4 ปี ซึ่งเป็นการแสดงถึงวิริยะอุตสาหะอย่างเต็มที่ เราเห็นภาพวิริยะอุตสาหะในกิจการทั้งหลาย
ศาสตราจารย์กิตติคุณ นพ.จรัส กล่าวถึงพิธีโองการแช่งน้ำ ในพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ซึ่งเป็นเวลาที่ประเทศไทยมีคอร์รัปชั่นอย่างมาก ผู้บริหารประเทศ รัฐบาลมีคนคอร์รัปชั่นเยอะ ก็โปรดให้ตั้งพิธีโองการแช่งน้ำ พอพระแสงต่างๆ พระแสงดาบ หอก ไปแช่ไว้ในน้ำ แล้วประกาศแช่ง หลังจากนั้นผู้บริหารประเทศ ก็ดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยา ถือว่าพระองค์เข้าใจวัฒนธรรมและความเชื่อของไทย
จากนั้น ศาสตราจารย์กิตติคุณ นพ.จรัส กล่าวถึงโครงการป้องกันน้ำท่วมที่จังหวัดชุมพร แสดงถึงพระปัญญาบารมีของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอุลยเดช ที่ใช้กระบวนการวิทยาศาสตร์ได้อย่างเยี่ยมยอด แก้ปัญหาน้ำท่วมชุมพรได้อย่างถาวร ซึ่งก็คือตัวอย่างพระกรณียกิจที่อาศัยพระปัญญาบารมีและพระวิริยะอุตสาหะ
ศาสตราจารย์กิตติคุณ นพ.จรัส กล่าวว่า จากที่ได้ศึกษาพระกรณียกิจ สามารถแบ่งเวลาของพระองค์ได้เป็น 3 ส่วน คือ
- 20 ปีแรก พระองค์เรียนรู้ปัญหาของประชาชนด้วยการทรงลงสัมผัสจริง ตอบสนองปัญหา ไม่ได้นั่งคิดหรือรับฟังข่าวสาร หรือรายงาน
- 20 ปีที่สอง แก้ที่ฐานของปัญหา ครอบคลุมเรื่องใหญ่ๆ ดิน น้ำ ป่า วิศวกรรม การจัดการ มีกระบวนการวิจัย เข้ามา และนำไปปฏิบัติจริง ตรงนี้จึงเกิดโครงการพระราชดำริต่างๆ
- 20 ปีที่สาม ทรงรวบยอดความรู้ทั้งหมด แปลเป็นเกษตรทฤษฎีใหม่ เศรษฐกิจพอเพียง และเป็นข้อสรุปเป็นมรดกที่พระราชทานให้แก่คนไทย และโลกด้วย
ศาสตราจารย์กิตติคุณ นพ.จรัส กล่าวถึงบุคคลของโลกที่เป็นเลิศรอบด้าน พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ก็เป็นเลิศทุกด้าน ซึ่งหากย้อนกลับไป ค.ศ.1400 -1500 เกิดเรเนสซองส์แมน (Renaissance Man) คือคนที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโลก "คงจะไม่มากเกินไปหากจะกล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระปัญญาบารมี อยู่ในความหมายของคำว่า มนุษย์เรเนสซองส์ ช่วยให้โลก รวมทั้งคนไทยหลุดจากภยันอันตรายจากสิ่งที่เผชิญอยู่"
ทั้งนี้ ศาสตราจารย์กิตติคุณ นพ.จรัส กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ครองสิริราชสมบัติ 70 ปี ในระยะ 70 ปี ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมากมาย รวมทั้งทรงผ่านวิกฤติการณ์ต่างๆ พระองค์ทรงสร้างและพัฒนาพระกรณียกิจ บทบาทหน้าที่พระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย จนมีลักษณะเฉพาะที่เป็นพิเศษ ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่เคยมีที่ไหนมาก่อน ไม่มีผู้ใดหรือผู้ใดเหมือน เป็นคุณูปการกับประเทศชาติอย่างเหลือล้น นับได้ว่า เป็นพระกฤษดาภินิหาร เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์อย่างยิ่งที่ประชาชนถวายด้วยความจงรักภักดีอย่างจริงใจเกินกว่าพระราชอำนาจ เกินกว่าระบบ รูปแบบ หรือกฎหมายรัฐธรรมนูญกำหนดไว้
"กล่าวได้ว่า ทรงสร้างสถานะพิเศษใหม่ขึ้นที่เหมาะสม และเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับประเทศชาติ แสดงถึงบทบาทที่พระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยจะมีได้อย่างวิเศษ เป็นที่ชัดเจนว่า พระราชฐานะ นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเอง หรือเกิดขึ้นโดยความบังเอิญ แต่ทรงสร้างด้วยพระกรณียกิจทั้งหลาย ทั้งพระประทานบารมี พระวิริยะบารมี พระสัจจะบารมี พระปัญญาบารมี และพระจริยวัตรตามทศพิธราชธรรม มองตามคติของไทยพระบริสุทธิคุณ เป็นสิ่งเหลือล้นเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดทีเ่กิดขึ้นบนแผ่นดินไทย"