หุ้นร่วงทั้งโลก
สถานการณ์ลงทุนหุ้น “ในระยะสั้น” ช่วงนี้ ถูกกดดันจากปัจจัยต่างประเทศ ได้แก่ การที่ FED จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นต่อเนื่อง จนผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีของสหรัฐฯ ขึ้นไปอยู่ในระดับเกินกว่า 3% แนวโน้มเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลง ความกังวลเรื่องสงครามการค้า ราคาน้ำมัน
เมื่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรในสหรัฐฯ สูงขึ้นจนถึงระดับหนึ่ง นักลงทุนทั่วโลกเลยแห่กันนำเงินออกจากตลาดหุ้นต่างๆ ที่มีความเสี่ยงสูงกว่าพันธบัตร แล้วนำเงินไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลแทน ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติของการลงทุน ... มาแล้วก็ไป ... ไปแล้วก็มา
ที่น่าจับตาและไม่เป็นข่าวคืออัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านของสหรัฐฯ หรือ US housing loan fix rate 30 ปี ที่เคยเป็น 3.5% ในปี 2016 นั้น ตอนนี้ขึ้นมาแตะ 5% เป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี และมีทีท่าว่าจะขึ้นต่อ
เมื่อเป็นแบบนี้ คนจะกู้ซื้อบ้านก็จะถอย เพราะระดับ 5% เป็น emotional level ที่ทำให้คนจะกู้เกิดกลัวว่าอัตราดอกเบี้ยในอนาคตจะขึ้นไปอีกจนผ่อนไม่ไหว เลยไม่กู้ ทำให้มีผลต่อ US housing market ซึ่งสำคัญมากๆ ต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ที่สนุกสนานต่อเนื่องก็คือ ลุงไดโน ทรัมพ์ (เป็นไดโนเสาร์ตัวสุดท้ายที่รอดชีวิตมาได้จนถึงวันนี้) แกทวิตด่าผู้ว่าการ FED ว่าเป็นตัวการทำให้หุ้นร่วง จากนโยบายขึ้นอัตราดอกบี้ย FED … ทำให้ผู้ว่าการแบงค์ชาติประเทศอื่นๆ ออกมาโต้แย้ง … แต่ผู้ว่าการ ธปท. ดร วิรไท โชคดี ที่ยังไม่ได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ย และนายกฯ ลุงตู่ก็ยังยุ่งกับการเดินสายโดยมิได้หาเสียง
อัตราดอกเบี้ยนโยบายไทย จะขึ้นในปีนี้ไหม
หลายค่ายมองว่าขึ้นปีนี้แน่ บางค่ายบอกว่ายัง
แต่การจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้พี่มองว่าไม่ง่าย เพราะเงินเฟ้ออาจจะไม่มาอย่างที่คาดคิดกัน เนื่องจากรายได้ต่อหัวภาคเกษตรลดลง ข้าวกำลังออกใหม่ให้เก็บเกี่ยวได้ในไตรมาสสุดท้ายนี้ ราคาย่อมลดลง นอกจากนี้ รายได้ภาคอุตสาหกรรมต่อหัวก็น้อยลง ที่สำคัญคือโอทีลด … โอที นี่สำคัญสำหรับมองว่าภาคการผลิตไปได้ดีไหม เพราะหากนายจ้างกำลังขยายการผลิต อย่างแรกไม่ใช่จ้างคนเพิ่ม แต่จะเป็นการให้คนงานทำงานล่วงเวลา
ดังนั้น เงินเฟ้อในระดับที่ต้องขึ้นดอกเบี้ยภายในปีนี้ จึงน่าจะเกิดยาก
แต่เศรษฐกิจไทยยังดี ไม่ใช่หรือ
ก็ใช่ ... GDP เราขยายตัวจริง แต่มันกระจุกตัว โดยท่องเที่ยวมีสัดส่วนถึงกว่า 20% ซึ่งส่วนนี้มาจากจีนมาก เราจึงต้องไม่มีเรื่องกับจีน ... ห้ามมี ห้ามด่า ห้ามเถียง เพราะเรายังพึ่งเขามาก
เจ้าหน้าที่รัฐที่ชอบตบทรัพย์นักท่องเที่ยวจีนนั้น เอาไปกุดหัวซะ ไม่ต้องแคร์แอมเนสซะตี้ เพราะพวกนี้ไม่ได้ช่วยปากท้องของคนไทยแต่อย่างใดเลย
และเรื่องพื้นฐานทางการเงินของประเทศยังเข้มแข็งจนบาทถูกมองว่าเป็น Safe Haven นั้นก็เป็นเรื่องจริงตามที่ผู้ว่า ธปท กับ รองนายกฯ เฮียกวง ให้สัมภาษณ์ ... อันนี้ของจริง ไม่ได้โม้
แล้วหุ้นไทยจะเป็นยังไง
มองด้านอารมณ์ผู้ลงทุน มันก็เป็นอย่างที่เห็น มีขึ้น มีลง มีทรง มีทรุด
มองด้านเหตุผล ... ตลาดหุ้นไทยตอนนี้มีระดับอัตราปันผล 2.9% แต่ Y+US bond yield ให้ผลตอบแทนเกิน 3% เงินร้อนของต่างชาติจึงไหลออกจากหุ้นไทยและที่อื่นๆ กลับไปลงทุนใน US Bond
แต่มีอีกเรื่องคือ กองทุนไทยเข้าตลาดหุ้นไทยเยอะในกลางเดือน กย ที่ผ่านมาที่ระดับดัชนีประมาณนี้ ดังนั้น ตอนนี้จึงน่าจะทยอยลงทุนได้
จะมองถูกหรือผิด ไม่รู้ ไม่รับรอง แต่เงินลงทุนของตนเองใน Provident Fund ที่เคยเอาออกจากหุ้นมาอยู่ Money Market Fund ทั้งหมดนั้น พี่ได้ทยอยเอาไปอยู่ในหุ้นไทยบ้างแล้ว รวมถึงการลงทุนใน LTF ก็สั่งซื้อไปแล้ว
ความเสี่ยงที่ต้องจับตา
ไม่ใช่ตลาดหุ้น แต่เป็นตลาดพันธบัตรไทย เพราะเงินต่างชาติในตลาดพันธบัตรไทยที่มีมากเป็นประวัติการณ์ (จะเพราะมองว่าบาทเป็น Safe Haven) ซึ่งถ้าถอนออกเมื่อไหร่ก็คงปั่นป่วนไม่น้อย
ส่วนระยะยาว ประมาณอีก 4 ปี คือปี 2022 ต้องระวังหนี้ภาครัฐจากโครงสร้างพื้นฐาน ไม่รู้ว่าโปรเจคชั่นกระแสเงินสดของรัฐบาลที่ควรมีในวันนี้ มองเห็นว่าอีก 4 ปีข้างหน้าจะเป็นตัวแดงหรือไม่
ขอให้ใช้สติและมีโชคในการลงทุน
วรวรรณ ธาราภูมิ ประธานกรรมการบริหาร บลจ.บัวหลวง จำกัด 12 ต.ค. 2561
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก Pinterest