ปปป.ตร.หอบหลักฐานยื่น ป.ป.ช.สอบ จนท. สรรพสามิต-กรมศุลฯ-เอกชนทุจริตคืนภาษีน้ำมัน
ปปป.ตร. หอบหลักฐานกว่า 8 แฟ้ม ร้อง ป.ป.ช. ไต่สวน จนท.สรรพสามิต-กรมศุลฯ 6 ราย ร่วมเอกชน ทุจริตคืนภาษีน้ำมัน ใช้เอกสารเท็จอ้างส่งออกเมียนมา แต่นำไปเวียนขายในประเทศ ทำมาแล้ว 36 ครั้ง รัฐสูญเสีย 3 ล้าน – คดีเงินทอนวัดล็อต 4 อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูล คนทำกลุ่มเดิม ไร้ชื่อพระผู้ใหญ่
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 11 ต.ค. 2561 พล.ต.ต.กมล เหรียญราชา ผู้บังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.ตร.) รักษาราชการแทนรองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง นำสำนวนร้องทุกข์กล่าวโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐทุจริตและประพฤติมิชอบต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พร้อมเอกสารหลักฐานกว่า 8 แฟ้ม เพื่อขอให้ไต่สวนข้อเท็จจริง
พล.ต.ต.กมล ระบุว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ปนม.ตร.) ลงพื้นที่สอบสวนพฤติกรรมการทุจริตภาษีน้ำมัน พบว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐจากกรมสรรพสามิต 3 ราย และกรมศุลกากร 3 ราย เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตภาษีน้ำมัน ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมาตรา 162 ฐานรับรองเอกสารเป็นเท็จ โดยมีบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งเป็นผู้ร่วมสนับสนุนให้มีการกระทำความผิด เชื่อว่าจะใช้เวลาไม่นานในการแสวงข้อเท็จจริง เพราะก่อนหน้านี้ ปปป.ตร. ได้ลงพื้นที่ทำข้อมูลอย่างรัดกุมแล้ว
พล.ต.ต.กมล ระบุอีกว่า กรณีนี้สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่า บริษัทผู้ค้าน้ำมันแห่งหนึ่ง ทำเรื่องขอน้ำมันจากโรงกลั่นน้ำมัน ตามมาตรา 7 ที่มีสิทธิ์ขอยกเว้นหรือคืนภาษีตาม พ.ร.บ.สรรพสามิต พ.ศ.2560 ใน จ.ราชบุรี อ้างว่า นำไปขายต่อให้บริษัทในประเทศเมียนมา แต่ข้อเท็จจริงกลับพบว่า มีการขนส่งน้ำมันไปขายให้ปั๊มน้ำมันที่ จ.พิษณุโลก จำนวน 32,000 ลิตร ในราคาที่ถูกกว่าท้องตลาด ส่วนน้ำมันที่เหลือ ค่อยนำส่งที่ชายแดน อ.แม่สอด จ.ตาก จากการสืบสวนพบว่า ทำมาแล้ว 36 ครั้ง มูลค่าความเสียหายกว่า 3 ล้านบาท
@คดีเงินทอนวัดล็อต 4 อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูล คนทำกลุ่มเดิม ไร้ชื่อพระผู้ใหญ่
พล.ต.ต.กมล ระบุถึงความคืบหน้าในการไต่สวนคดีทุจริตเงินอุดหนุนบูรณปฏิสังขรณ์และพัฒนาวัด ล็อตที่ 4 ว่า ยังอยู่ระหว่างการรวบรวม ตนไม่ได้รับผิดชอบคดีนี้แล้ว แต่ได้ส่งต่อข้อมูลให้กับผู้เกี่ยวข้องไปเรียบร้อย อย่างไรก็ดีเบื้องต้นพบว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการทุจริตเป็นกลุ่มเดิมกับที่ถูกกล่าวหาก่อนหน้านี้ และยังไม่พบข้อมูลว่ามีพระชั้นผู้ใหญ่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง