6 เรื่องใหม่ ในกฎหมาย ป.ป.ช. 61 'เน้นมีส่วนร่วม โปร่งใส รวมศูนย์ทุจริต มุ่งบูรณาการ"
หากคณะกรรมการป.ป.ช. ดำเนินการขัดต่อกฎหมาย สิ่งที่ต่างของเดิม เมื่อส.ส.และส.ว.เข้าชื่อและร้องไปที่ประธานศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ แต่ของใหม่ให้ร้องไปที่ประธานรัฐสภา และเห็นว่า มีเหตุควรต้องสงสัยให้ส่งไปที่ศาลฯ ต่อได้ ตรงนี้ จึงขึ้นอยู่กับภาคการเมืองจากนี้ไปจะมีแรงเสียดทานหรือไม่
วันที่ 5 ตุลาคม สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ร่วมกับสถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย จัดเวทีเสวนาแลกเปลี่ยนและให้ความรู้ “บทบาทและหน้าที่ของ ป.ป.ช. ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561” โดยมีผู้ร่วมเสวนาได้แก่ นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ,นายภูเทพ ทวีโชติธนากุล ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย ป.ป.ช. นายบรรเจิด สิงคะเนติ อดีตกรรมการปฏิรูปกฎหมาย และนายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ผู้อำนวยการบริหารสถาบันอิศรา
@'วรวิทย์' ย้ำปีหน้าเร่งเคลียร์ 6 พันคดี
นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่า ประเทศไทยได้มีการพัฒนาการป้องกันและปราบปรามการทุจริต จนกระทั่งมี ป.ป.ช.เมื่อปี 2540 ที่ต้องทำหน้าที่ในการตรวจสอบการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งต้องตรวจสอบหมดเลยตั้งแต่เรื่องใหญ่จนถึงเรื่องเล็ก จนกระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงก็คือในข้าราชการระดับเล็ก ให้ ป.ป.ท.เป็นผู้ดำเนินการ ส่วนระดับผู้อำนวยการกองขึ้นไป ป.ป.ช.จะเป็นผู้ดำเนินการ ต่อมาเมื่อปี 2560 ก็มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอีกว่าให้ ป.ป.ช.รับผิดชอบการทุจริตเจ้าหน้าที่รัฐทั้งหมด โดยให้ ป.ป.ช.สามารถโอนถ่ายงานไปยังหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมรับผิดชอบได้
นายวรวิทย์ กล่าวว่า สำหรับ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฉบับล่าสุดนั้น ก็มีการวางบทบาท ป.ป.ช.เอาไว้อีกว่า ให้ ป.ป.ช.มีหน้าที่ทั้งป้องกันการทุจริต โดยสามารถเสนอแนะมาตรการป้องกันการทุจริตกับหน่วยงานต่างๆที่ดำเนินการตรวจสอบการทุจริตที่เกิดขึ้นได้ โดยไม่ต้องรอให้เรื่องเข้ามาอยู่ในความรับผิดชอบของ ป.ป.ช.ก่อน นอกจากนี้ยังมีการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการสอดส่องดูแลและปราบปรามการทุจริตมากขึ้นไปอีก
นายวรวิทย์ ถึงงานด้านปราบปรามการทุจริตของ ป.ป.ช.ซึ่งที่ผ่านมามีปัญหาว่า คดีหมดอายุความไปก่อน กฎหมายฉบับใหม่ มีการแก้ไขว่า งานของ ป.ป.ช.นั้นต้องดำเนินการให้เสร็จเป็นระยะเวลา 2 ปี ขยายเวลาได้อีก 1 ครั้ง เมื่อรวมการขยายเวลาแล้วก็เป็น 3 ปี ยกเว้นเรื่องที่ต้องมีการดำเนินการในต่างประเทศ ก็ให้มีการขยายเวลาได้ตามความเหมาะสม โดยกฎหมาย ป.ป.ช.ฉบับใหม่นี้ได้เร่งรัดการทำงานของป.ป.ช. หากไม่ทำงานตามเวลา หรือทำคดีล้าช้า ให้มีการดำเนินการทางวินัย ซึ่งส่งผลทำให้เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ลาออกไปร่วมร้อยคน
สำหรับกรอบระยะเวลาทำงานตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 นายวรวิทย์ กล่าวว่า ยังส่งผลไปยังอัยการด้วย อัยการถูกบังคับระยะเวลาทำงานว่า จะต้องสั่งฟ้องให้ได้ภายใน 180 วัน เว้นแต่สำนวนที่อัยการรับมาจาก ป.ป.ช.นั้นไม่สมบูรณ์ก็ต้องมีการส่งเรื่องกลับมาให้ ป.ป.ช.ดำเนินการตั้งคณะกรรมการร่วมกับอัยการเพื่อรวบรวมหลักฐานให้เสร็จภายใน 90 วัน หากยังหาข้อยุติไม่ได้ให้ ป.ป.ช. ฟ้องเองได้
นายวรวิทย์ กล่าวถึงภารกิจการตรวจสอบทรัพย์สิน ซึ่งเป็นมาตรการเสริมในด้านการปราบปรามการทุจริตถือว่าเป็นเครื่องมือช่วย ป.ป.ช. ทั้งด้านการปราบปรามและการป้องกัน เดิมที่นั้นการกำหนดให้เจ้าหน้าที่รัฐต้องแสดงบัญชีทรัพย์สิน เป็นเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง แต่ตอนนี้มีการเปลี่ยนแปลง ก็คือเจ้าหน้าที่รัฐที่ไม่ได้มีการระบุว่าต้องมายื่นบัญชีทรัพย์สินกับ ป.ป.ช. ก็ให้ไปยื่นบัญชีทรัพย์สินกับหน่วยงานที่สังกัดอยู่
นอกจากนี้การยื่นบัญชีทรัพย์สินยังมีการเข้มข้นมากขึ้น จากเมื่อก่อนที่ให้ยื่นเฉพาะผู้ยื่นและคู่สมรส ก็เพิ่มขอบเขตว่า ผู้ที่อยู่กินกับผู้ยื่นบัญชีทรัพย์สินฉันสามี ภรรยา จะต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินด้วย โดยผู้ที่ไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินนั้น ก็มีการลงโทษที่แรงขึ้น โดยขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาลที่อาจจะตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิต หรือไม่ให้เข้าไปมีส่วนในการเลือกตั้งเป็นระยะเวลา 10 ปี
“ส่วนกรณีที่มีการวิจารณ์ว่า ป.ป.ช.มีการทำคดีที่ผ่านมาล่าช้าจนมีคดีคั่งค้างอยู่มากนั้น ต้องขอเรียนข้อเท็จจริงว่า ขณะนี้ ป.ป.ช.ยังมีคดีที่คั่งค้างอยู่ประมาณ 17,000 คดี ในจำนวนนี้มีประมาณ 14,000 คดี ที่ยังอยู่ในระหว่างการแสวงหาข้อเท็จจริง ซึ่งในปีที่ผ่านมา ป.ป.ช.ได้ดำเนินการสะสางคดีไปแล้วทั้งสิ้น 4,000 คดี และในปี 2562 ป.ป.ช.ก็ได้ตั้งเป้าไว้ว่าจะสะสางคดีที่ค้างจำนวน 6,000 คดี ให้เสร็จสิ้น”
@ ข้อดีกฎหมายให้คนนอกร่วมตรวจสอบทุจริต
ขณะที่นายภูเทพ ทวีโชติธนากุล ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย ป.ป.ช.ได้กล่าวถึงการปราบปรามการทุจริตว่า ในปี 2561 มีการบัญญัติกรอบเวลาการทำหน้าที่ของ ป.ป.ช.เพื่อปราบการทุจริตอย่างชัดเจน และทำหน้าที่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ โดยกฎหมายมีการเพิ่มประสิทธิภาพ สามารถแต่งตั้งให้คนนอกสามารถเข้ามาเป็นที่ปรึกษาให้คดีที่ใหญ่ๆ และมีผลกระทบกับสังคมในวงกว้างได้ และเมื่อบุคคลภายนอกถูกแต่งตั้งให้เข้ามาเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ก็จะสามารถเข้ามาสืบสวนได้กับเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. และถ้าบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นที่ปรึกษาเข้ามาทำผิดเสียเองก็จะได้รับโทษ 2 เท่าเช่นเดียวกับกรณีเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.กระทำผิดกฎหมาย
นายภูเทพ กล่าวว่า นอกจากนี้ก็ยังมีมาตรการคุ้มครองผู้ทรงคุณวุฒิที่เข้ามาทำหน้าที่เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. โดยมีบทคุ้มครองพยานให้กับประชาชนหรือสื่อมวลชนที่เข้ามาแจ้งเบาะแสได้ ถ้าพยานถูกฟ้องร้อง เขาก็สามารถอ้างกลับโดยยึดตามมาตรา 61 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯได้
ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย ป.ป.ช. กล่าวอีกว่า ในส่วนของเครื่องมือการปราบการทุจริต กฎหมายฉบับนี้ยังมีเครื่องมืออำนวยความสะดวก โดยขอให้เอกชนดำเนินการตามที่ ป.ป.ช.ร้องขอได้ในแง่ของการส่งข้อมูล ซึ่งถ้าเอกชนไม่ปฏิบัติตามก็จะมีโทษตามมา นอกจากนี้ในกฎหมายยังระบุด้วยว่า ป.ป.ช.สามารถดึงเอาเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานอื่นมาร่วมกันสอบสวนกับ ป.ป.ช.ได้ ซึ่งถือว่าเป็นกลไกที่จะทำให้เกิดการขับเคลื่อนการปราบการทุจริตโดยร่วมกันทุกหน่วยงาน
สำหรับกรณีการไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สิน นายภูเทพ กล่าวว่า ป.ป.ช.ก็สามารถส่งคำเตือนไปยังผู้ที่ไม่ยื่นได้เช่นกัน และถ้าหากพบว่ามีเจตนาปกปิดบัญชีทรัพย์สิน ป.ป.ช.ก็จะส่งเรื่องฟ้องศาลได้ ซึ่งนี่คือสิ่งที่เพิ่มเข้ามาในกฎหมายใหม่ ป.ป.ช.ฉบับล่าสุด
นายภูเทพ กล่าวถึงการป้องกันการทุจริต มีการกำหนดบทคุ้มครอง เช่นเจ้าหน้าที่ระดับผู้น้อยถูกบังคับ กดดันให้ทำผิด ถูกครอบงำจากผู้บังคับบัญชาที่เหนือกว่า กฎหมายใหม่ก็คุ้มครองให้สามารถมายื่นหนังสือให้กับ ป.ป.ช.ภายในระยะเวลา 30 วัน บุคคลนั้นก็จะถูกกันตัวไว้เป็นพยานและไม่ต้องรับโทษ
ทั้งนี้ นายภูเทพ กล่าวด้วยว่า ในส่วนกรณีการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานอื่่นนั้น ถ้าหาก ป.ป.ช.รับเรื่องแล้วพิจารณาว่าอยู่ในหน้าที่ของหน่วยงานอื่น ป.ป.ช.ก็สามารถส่งไปให้หน่วยงานอื่นด้วย และถ้าเป็นประเด็นคาบเกี่ยวที่เกี่ยวข้องกับทั้ง ป.ป.ช.และหน่วยงานอิสระอื่นๆ ตรงนี้ ป.ป.ช.และหน่วยงานนั้นๆ ก็ต้องมีการหารือพูดคุยกัน ว่าจะดำเนินคดีในรูปแบบอย่างไร
@'บรรเจิด' ชี้ 6 เรื่องใหม่ในกฎหมาย ป.ป.ช. หวั่นเจอแรงเสียดทานมหาศาล
ด้านนายบรรเจิด สิงคะเนติ อดีตกรรมการปฏิรูปกฎหมาย กล่าวว่า พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มีเรื่องใหม่อยู่ 6 ประเด็นได้แก่ 1.เน้นการมีส่วนร่วมและป้องกันการทุจริต 2.ทำให้ ป.ป.ช. โปร่งใส 3. รวมศูนย์เรื่องทุจริตอยู่ที่ ป.ป.ช. 4.มุ่งบูรณาการกับหน่วยงานที่ตรวจสอบ 5. กระบวนการไต่ส่วนที่มีประสิทธิภาพ และ 6. ให้มีกองทุนฯ สำหรับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
"การป้องกันและปราบปรามการทุจริต ต้องให้น้ำหนักทั้งการป้องกัน ปราบปราม และการมีส่วนร่วมของประชาชนให้สมดุล"
นายบรรเจิด กล่าวยังขยายความถึงประเด็นการทำให้การทำหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. โปร่งใสนั้น การเข้าชื่อของ ส.ส.และ ส.ว.เป็นของที่มีมาเดิม หากคณะกรรมการป.ป.ช. ดำเนินการขัดต่อกฎหมาย แต่สิ่งที่ต่างของเดิม เมื่อส.ส.และส.ว.เข้าชื่อและร้องไปที่ประธานศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ แต่ของใหม่ ให้ร้องไปที่ประธานรัฐสภา และหากประธานรัฐสภาเห็นว่า มีเหตุควรต้องสงสัยให้ส่งไปที่ศาลฯ ต่อได้
"จุดตรงนี้ คือ ประธานรัฐสภา จึงขึ้นอยู่กับภาคการเมืองต่อจากนี้ไปจะมีแรงเสียดทานหรือไม่ การให้ขึ้นอยู่กับความเห็นประธานรัฐสภา จากของเดิมไปที่ศาลฎีกา ไม่เกี่ยวกับการเมือง นี่คือกลไกใหม่ ที่เมื่อก่อนไม่มีตรงนี้"
นายบรรเจิด กล่าวถึงการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีประธานวุฒิสภาดูแล นี่คือสิ่งที่เน้นให้เห็นว่า ป.ป.ช.ตรวจสอบคนอื่น กรรมการก็ต้องแสดงความโปร่งใส ตรวจสอบได้ นี่คือจุดที่เปลี่ยนไปจากเดิม ส่วนการบูรณาการการทำงานนั้น ก็ถือเป็นเรื่องใหม่ โดยเฉพาะมาตรา 48 วรรค 4 หากผู้ว่า สตง.แจ้งมา ให้ป.ป.ช. ทำดำเนินการโดยพลัน เชื่อว่า กระบวรนการทำงานจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น
"จัดทำงบประมาณแผ่นดิน มาตรา 144 วรรค 4 ของรัฐธรรมนูญ ให้มาที่ ป.ป.ช. จะเป็นอีกฐานหนึ่ง จุดตรงนี้ไม่เคยมีการเขียนมาก่อน จะเป็นแรงเสียดทานมหาศาล ที่ป.ป.ช.ต้องเผชิญกับฝ่ายบริหารทั้งจุด นับเป็นยาแรงมาก ถือเป็นภาระใหม่ของ ป.ป.ช.ด้วย "
นอกจากนี้ นายบรรเจิด กล่าวถึงเรื่องกระบวนการไต่สวน คดีของ ป.ป.ช.ว่า จะต้องมีการกำกับ ดูแลในการดำเนินการให้เกิดความเหมาะสมเกิดขึ้น สำหรับกองทุนเพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริตนั้นที่จะใช้ทั้งในด้านการคุ้มครองเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.และกรรมการที่เกี่ยวข้องในการทำหน้าที่ ก็จะต้องมีความสอดคล้องกับการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนด้วย โดยจะต้องกำหนดเกณฑ์ที่ชัดเจนในการใช้กองทุน ว่าจะใช้อย่างไร มิเช่นนั้นเงินกองทุนจะไหลไปสู่วงเล็บอื่น ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์
"ในตอนนี้รัฐบาลได้ผ่านร่าง พ.ร.บ.ดิจิตัลแล้ว ป.ป.ช.จึงไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้เลยที่จะทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมข้อมูลหรือ Big Data การทุจริต ดังนั้นถ้า ป.ป.ช.เข้ามามีส่วนตรงนี้ได้ก็จะเป็นเรื่องดีในการปราบทุจริต ส่วนในประเด็นเรื่องการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ถ้าหากในอนาคตมีการลงทุนสร้างแอพพลิเคชั่นเพื่อให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการต่อต้านการทุจริต ก็จะเป็นการสร้างมูลค่าในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตให้ได้มากขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง"
@ผอ.อิศรา ชี้ปราบทุจริตต้องเปิดข้อมูลให้ประชาชนมีส่วนร่วม
สุดท้ายนายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ผู้อำนวยการบริหารสถาบันอิศรา กล่าวว่า ในกฎหมายใหม่ คุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็น ป.ป.ช. ถือว่าเข้มข้นมาก แต่อย่างไรก็ตามปัญหาสำคัญก็คือว่า การไม่เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เข้ามาทำหน้าที่ ทั้งๆที่โลกเปลี่ยนไปมากแล้ว ดังนั้นผู้ที่เข้ามาเป็น ป.ป.ช.ก็อาจจะตามโลกไม่ทันได้ ปัญหาอีกประการก็คือกระบวนการไต่สวนของ ป.ป.ช. ซึ่งที่ผ่านมามีการปล่อยให้คดีถูกปล่อยคั่งค้างมานาน จนมาถึง 13,000 คดี และยังมีคดีที่มีการร้องเรียนเป็นระยะเวลา 10 ปีขึ้นไป แต่อย่างไรก็ตามในกฎหมายใหม่นั้นระบุว่า คดีใดก็ตามที่ยังไม่หมดอายุความก็ให้มาเริ่มนับหนึ่งใหม่ และต้องให้เสร็จในระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนดซึ่งก็คือ 2 ปี ก็เลยเป็นประเด็นที่น่าเป็นห่วงว่าจะมีการเร่งรัดให้เสร็จสิ้นกันได้อย่างไร โดยเป็นธรรมกับผู้ถูกกล่าวหาด้วย
"ถ้าหากทำไม่ทันแล้วเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ก็ต้องโดนสอบวินัย ดังนั้นเจ้าหน้าที่สอบสวนของ ป.ป.ช.ก็จะมีทางเลือกอยู่ 2 ทางถ้าหากทำคดีไม่ทันคือ 1.สรุปเป่าคดีเลย หรือ 2. รีบสรุปคดีแล้วก็ไปว่ากันในชั้นอัยการ ดังนั้นสรุปก็คือการเร่งรัดคดีในลักษณะแบบนี้นั้นมีข้อดีและไม่ดี ข้อดีก็คือดูเหมือนว่าเร็ว แต่ข้อเสียคือประสิทธิภาพในการทำคดีซึ่งจะไม่มี ดังนั้นก็ต้องฝากไปยัง ป.ป.ช.ให้เป็นการบ้านด้วย"
นายประสงค์ ยังกล่าวถึงการให้ประชาชนและสื่อมวลชน เข้ามามีส่วนร่วมในการปราบทุจริต สิ่งสำคัญคือต้องเปิดเผยข้อมูล เพราะทั่วโลกระบุแล้วว่าการเปิดเผยข้อมูลนั้นทำให้เกิดความโปร่งใส โดยที่ไม่ต้องไปรณรงค์ให้เสียงบประมาณในการต่อต้านการทุจริตแต่อย่างใด โดยเมื่อเปิดข้อมูลแล้ว ประชาชนก็มีสิทธิ์จะเข้ามาดูและเร่งรัดให้เกิดการตรวจสอบมากขึ้น จนทำให้่เกิดการปราบทุจริตเชิงรุก ทั้งนี้การเปิดเผยข้อมูลจะต้องควบคู่ไปกับกับการมีระบบสารสนเทศที่ดีและทันสมัยตามมา อาทิ กรณีที่ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 6 มีคำพิพากษา จำคุก 5 ปี นางนุสรา แสนนาม ผู้อำนวยการ สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดเพชรบูรณ์ สังกัดกระทรวงยุติธรรม ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริตกรณีเอารถยนต์ส่วนกลางไปใช้ภารกิจส่วนตัว ถ้าหากมีระบบสารสนเทศที่ดี ให้ประชาชนเข้าไปสืบค้นข้อมูลได้นั้น ประชาชนก็จะรู้ได้เลยว่าเคยมีกรณีที่มีข้าราชการระดับสูงเอารถยนต์หลวงไปใช้กี่คดี มีกี่คดีที่ ป.ป.ช.ได้พิจารณาไปแล้ว แล้วกลไกต่อต้านทุจริตโดยภาคประชาชนก็จะเกิดขึ้นเอง
ในส่วนของการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินให้ ป.ป.ช.นั้น นายประสงค์ กล่าวว่า ในมาตราที่ 106 ที่มีการกำหนดว่าสามารถเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินได้เพื่อการมีส่วนร่วมของประชาชน แต่กลับมีการกำหนดต่อท้ายด้วยว่าการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินให้มีระยะเวลาที่แน่นอน ซึ่งก็สงสัยว่าระยะที่แน่นอนนั้นคือเท่าไร หากบัญชีทรัพย์สินฯ ถูกเอาลงจากเว็บไปก่อน ก็จะเป็นภาระของประชาชนที่จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเข้ามาตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินที่ ป.ป.ช.อีก ทั้งๆที่ในปัจจุบันนั้นเทคโนโลยีสารสนเทศก็ก้าวไกลไปมากแล้ว ทำให้สงสัยว่า ทำไมถึงไม่ใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ในการเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนทราบ เพื่อให้ประชาชนได้เข้ามาสืบค้นข้อมูลบัญชีทรัพย์สินแบบห้องสมุด อีกทั้งในกรณีการเปิดเผยข้อมูลคดีที่อยู่ในการพิจารณาของ ป.ป.ช. จะเป็นไปได้หรือไม่ ที่จะมีการประสานข้อมูลอิเล็กส์ทรอนิกส์กับหน่วยงานอื่นด้วย เพื่อเปิดเผยบนหน้าเว็บไซต์เลยว่าคดีนั้นไปถึงไหนแล้ว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: