ก.ล.ต.สั่ง 7 ผู้บริหาร-4 ผู้เกี่ยวข้องปมอินไซเดอร์หุ้น EARTH ชดใช้เงิน 143 ล.
ก.ล.ต. ใช้มาตรการทางแพ่งบี้ชดใช้เงินคืน 7 ผู้บริหาร-4 ผู้เกี่ยวข้องปมอินไซเดอร์หุ้น EARTH เบ็ดเสร็จ 143 ล้านเศษ ถ้าไม่ยอมชดใช้จะส่งเรื่องให้อัยการฟ้องเป็นคดีแพ่งต่อ ห้ามนั่งเป็น กก.-ผู้บริหารบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ 1-4 ปี
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 24 ก.ย. 2561 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ก.ล.ต.) เปิดเผยการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดรวม 11 รายด้วยมาตรการลงโทษทางแพ่งกรณีใช้ข้อมูลภายใน ขายหลักทรัพย์บริษัท เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ จำกัด (มหาชน) (EARTH)ได้แก่ (1) นายขจรพงศ์ คำดี (2) นายพิสุทธิ์ พิหเคนทร์ (3) นายพิพรรธ พิหเคนทร์ (4) นางธัญกมล ตริตระการ (5) นางธนภร พงศ์ธิติ (6) นายพิริยะ พิหเคนทร์ (7) นายพัชวัฏ คุณชยางกูร (8) นายจิตตเกษม คุณชยางกูร (9) นายเกษมสัณห์ คุณชยางกูร (10) นางลักขณา จันทร์เต็ม และ (11) นางสาวสุภาภรณ์ สายคำ
กรณีนี้สืบเนื่องจากที่ ก.ล.ต. ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2560 (1) นายขจรพงศ์ คำดี ในฐานะประธานกรรมการบริหารและกรรมการของ EARTH ได้เข้าพบธนาคารเจ้าหนี้เพื่อขอเลื่อนชำระหนี้เนื่องจากEARTH กำลังประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง อย่างไรก็ดี การขอเลื่อนชำระหนี้ได้รับการปฏิเสธ จึงคาดการณ์ได้ว่า EARTH จะผิดนัดชำระหนี้ตั๋วแลกเงินและหนี้อื่น ๆ ซึ่งนายขจรพงศ์ได้แจ้งเรื่องดังกล่าวให้ (2) นายพิสุทธิ์ พิหเคนทร์ และ (3) นายพิพรรธ พิหเคนทร์ ซึ่งขณะนั้นเป็นประธานกรรมการ และกรรมการของ EARTH ตามลำดับ
ต่อมาในช่วงวันที่ 16 พฤษภาคม–7 มิถุนายน 2560 (1) นายขจรพงศ์และ (2) นายพิสุทธิ์ใช้ประโยชน์จากข้อมูลภายในข้างต้นขายหุ้น EARTH จำนวน 33.34 ล้านหุ้น และ EARTH-W4 จำนวน 72.12 ล้านหน่วย มูลค่า 88.80 ล้านบาทเพื่อหลีกเลี่ยงผลขาดทุนอันเกิดการลดลงของราคาหลักทรัพย์จากปัญหาการขาดสภาพคล่องดังกล่าว โดยขายหุ้นผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของบุคคล 4 ราย ในลำดับที่ (8) – (11) ได้แก่ (8) นายจิตตเกษม คุณชยางกูร (9) นายเกษมสัณห์ คุณชยางกูร (10) นางลักขณา จันทร์เต็ม และ (11) นางสาวสุภาภรณ์ สายคำโดยมี (7) นายพัชวัฏ คุณชยางกูร ช่วยเหลือดำเนินธุรกรรมทางการเงินและจัดหาบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของบุคคลทั้ง 4 รายดังกล่าว
ในวันที่ 2 มิถุนายน 2560 (3) นายพิพรรธซึ่งรู้ข้อมูลภายในดังกล่าวได้ยินยอมให้บริษัทหลักทรัพย์ขายหุ้น EARTH ในบัญชีของตนเองเพื่อชำระหนี้ในบัญชีเงินกู้ยืมเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ของบุคคลอื่น จำนวน 2.34 ล้านหุ้น รวมมูลค่า 5.19 ล้านบาท
ในช่วงวันที่ 22 พฤษภาคม - 2 มิถุนายน 2560 (4) นางธัญกมลตริตระการ ขณะเป็นกรรมการของ EARTH รู้หรือครอบครองข้อมูลภายในตามบทสันนิษฐานตามกฎหมาย ได้ขายหุ้น EARTHและ EARTH-W4 ออกจนหมดบัญชี จำนวน 7.94 ล้านบาท และ2.89ล้านหน่วย ตามลำดับมูลค่ารวม 18.29 ล้านบาท
ในวันที่ 22 และ 31 พฤษภาคม 2560(5) นางธนภรพงศ์ธิติ ซึ่งเป็นน้องสาวของนายพิสุทธิ์มีพฤติกรรมการขายหุ้นที่ผิดไปจากปกติวิสัย จากเดิมที่มีลักษณะการถือครองระยะยาว โดยนางธนภรรู้หรือครอบครองข้อมูลภายในตามบทสันนิษฐานตามกฎหมายได้ขายหุ้นEARTH ออกจนหมดบัญชี จำนวน 13.96 ล้านหุ้น มูลค่า 32.12 ล้านบาท
นอกจากนี้ในวันที่ 16 พฤษภาคม 2560 (6) นายพิริยะ พิหเคนทร์ ซึ่งเป็นน้องชายของนายพิสุทธิ์ มีพฤติกรรมการซื้อขายหุ้นที่ผิดไปจากปกติวิสัย จากเดิมที่มีลักษณะการถือครองระยะยาว โดยนายพิริยะรู้หรือครอบครองข้อมูลภายในตามบทสันนิษฐานตามกฎหมายได้ขายหุ้นEARTH ออกจนเกือบหมดบัญชี จำนวน 9.2 ล้านหุ้น มูลค่า 19.44 ล้านบาท
การกระทำของบุคคลทั้ง 11 รายข้างต้น ซึ่งเป็นบุคคลที่รู้หรือครอบครองข้อมูลภายในและขายหุ้นEARTH ในระหว่างที่ข้อมูลภายในยังไม่ถูกเปิดเผยต่อประชาชนเป็นการทั่วไป เข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 242 มาตรา 243 มาตรา 244 และมาตรา 315 อันมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 296 และมาตรา 296/2 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2559 คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) มีมติให้ ก.ล.ต. นำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาใช้บังคับกับบุคคลทั้ง 11 ราย โดยมีรายละเอียดดังนี้
บุคคลลำดับที่ (1) ขจรพงศ์ และ (2)นายพิสุทธิ์ กำหนดให้ชำระเงินค่าปรับทางแพ่ง และส่งคืนผลประโยชน์ที่ได้รับจากการกระทำความผิดเป็นเงินรายละ 42,458,636.59 บาท และกำหนดระยะเวลาห้ามบุคคลทั้งสองเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์เป็นเวลา 4 ปี
บุคคลลำดับที่ (3) นายพิพรรธ กำหนดให้ชำระเงินค่าปรับทางแพ่ง และส่งคืนผลประโยชน์ที่ได้รับจากการกระทำความผิด รวมเป็นเงิน 3,873,870 บาท และกำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์เป็นเวลา 1 ปี
บุคคลลำดับที่ (4)นางธัญกมลกำหนดให้ชำระเงินค่าปรับทางแพ่ง และส่งคืนผลประโยชน์ที่ได้รับจากการกระทำความผิด รวมเป็นเงิน 13,998,516.61 บาทและกำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์เป็นเวลา 2 ปี
บุคคลลำดับที่ (5)นางธนภรกำหนดให้ชำระเงินค่าปรับทางแพ่ง และส่งคืนผลประโยชน์ที่ได้รับจากการกระทำความผิด รวมเป็นเงิน 25,526,154.50บาทและกำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์เป็นเวลา 3 ปี
บุคคลลำดับที่ (6) นายพิริยะ กำหนดให้ชำระเงินค่าปรับทางแพ่ง และส่งคืนผลประโยชน์ที่ได้รับจากการกระทำความผิด รวมเป็นเงิน 13,123,600บาทและกำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์เป็นเวลา 2 ปี
บุคคลลำดับที่ (7)นายพัชวัฏกำหนดให้ชำระเงินค่าปรับทางแพ่ง เป็นเงิน 500,000 บาท และกำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์เป็นเวลา 4 ปี
บุคคลลำดับที่ (8) – (11)นายจิตตเกษม นายเกษมสัณห์นางลักขณา และนางสาวสุภาภรณ์ กำหนดให้ชำระเงินค่าปรับทางแพ่ง เป็นเงิน รายละ 500,000 บาท และกำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์เป็นเวลารายละ 1 ปี
รวมทั้ง 11 รายเป็นเงิน 143,939,412 บาท
นอกจากนี้ ผู้กระทำผิดทั้ง 11 ราย ต้องชดใช้ค่าใช้จ่ายเนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิดให้แก่ ก.ล.ต. จำนวนรายละ 18,900.45 บาท อีกด้วยและการกำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์จะมีผลนับตั้งแต่วันที่ลงนามในบันทึกการยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่ง
ทั้งนี้ หากผู้กระทำผิดทั้ง 11 รายไม่ยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนด ก.ล.ต. จะมีหนังสือขอให้พนักงานอัยการดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลแพ่ง เพื่อขอให้ชำระค่าปรับทางแพ่งตามอัตราสูงสุดที่กฎหมายกำหนด กำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์เป็นเวลาสูงสุดที่กฎหมายกำหนด ส่งคืนผลประโยชน์ที่ได้รับจากการกระทำความผิด และชดใช้ค่าใช้จ่ายเนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิดแก่ ก.ล.ต.
สำหรับกรณีที่มีผู้ร้องเรียนเกี่ยวกับการสร้างหนี้เทียมเพื่อนำ EARTH เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ และเรื่องร้องเรียนอื่น ๆ ก.ล.ต. อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งหากพบว่ามีการกระทำของบุคคลใดที่เกี่ยวข้องเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ ก.ล.ต. จะพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป