ทุกวันนี้เราฝากชีวิตไว้กับใครกันแน่
ก่อนหน้านี้ไม่นาน ผมได้อ่านเจอข่าวดราม่าเกี่ยวกับแท็กซี่ที่มีกลุ่มผู้ขับแท็กซี่แวนจำนวนหนึ่งออกมาพูดในเชิงขู่ว่าจะหยุดวิ่งบริเวฌสนามบินเป็นเวลา 1 วันเต็มหากไม่ปรับค่าเซอร์ชาร์จขึ้นจาก 50 เป็น 100 บาท ซึ่งถ้าหยุดวิ่งขึ้นมาจริง ๆ แม้เราจะยังมีช่องขนส่งสาธารณะช่องทางอื่นอีกมากมายให้เราได้เลือกใช้บริการ ไม่ว่าจะเป็น Airport Rail link หรือการใช้แอพลิเคชั่นเรียกรถต่าง ๆ มากมาย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าต้องมีคนจำนวนมากที่ได้รับความเดือดร้อน
ถึงตัวผมเองจะอยู่จีนและจะไม่ได้รับความเดือดร้อนใด ๆ แต่ก็อดคิดไม่ได้ ถึงประสบการณ์เกี่ยวข้องกับแทกซี่ที่ผมได้ประสบพบด้วยตัวเอง 2 เหตุการณ์ด้วยกัน เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นเวลาประมาณ 23:30 น. ของวันหนึ่งช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา หลังจากที่ผมและเพื่อน ๆ แยกย้ายกันหลังเสร็จภารกิจประชุมโครงงานรายการหนึ่ง ผมผู้ซึ่งไม่มีรถและใบขับขี่จำเป็นต้องกลับบ้านโดยการเรียกแท็กซี่เช่นเดียวกับทุก ๆ ครั้งที่ออกจากบ้าน
วันนั้นผมยืนเรียกแท็กซี่อยู่ราวครึ่งชั่วโมง ถูกปฏิเสธไปอยู่หลายคันด้วยเหตุผลที่คุ้นเคย ซึ่งก็ดูจะเป็นเรื่องปกติไปแล้วสำหรับผมและอีกหลาย ๆ คน แต่ผมก็ยังอดหงุดหงิดใจไม่ได้กับเรื่องนี้จริง ๆ อย่างไรก็ตามเมื่อได้ขึ้นมานั่งบนเบาะหลังของแท็กซี่ที่โบกเรียกได้ ผมปิดประตูรถด้วยน้ำหนักมือปกติ แต่เสียงของประตูนั้นฟังแล้วรู้สึกเหมือนว่ามันจะยังปิดไม่สนิท ผมจึงลองใหม่และเพิ่มแรงดึงปิดประตูขึ้นแต่ฟังจากเสียงแล้วยังคงรู้สึกว่ามันหลวม ๆ เหมือนจะยังไม่สนิทดีนัก ผมจึงตั้งท่าจะลองอีกครั้ง ก่อนที่ลุงคนขับจะทักว่า
"ไม่ต้องหรอกหนุ่ม มันสนิทอยู่แล้ว แต่เสียงประตูรถคันนี้ก็เป็นแบบนี้แหละ อย่ากังวลเลย"
ลุงพูดไปพลางออกรถ ซึ่งถึงแม้ผมจะไม่ใช่คนที่มีความรู้เรื่องรถมากมายนัก แต่พอฟังเสียงเครื่องยนต์แท็กซี่คันนี้ยังไงก็ยังรู้สึกว่ามันมีอะไรผิดปกติแน่ ๆ เสียงมันออกจะแหลมผิดปกติไม่เหมือนกับรถคันอื่น ๆ ทีเคยนั่ง เมื่อออกรถได้สักประเดี๋ยว ลุงคนขับก็เหยียบเร่งเครื่องซะแรง ผมซึ่งยังไม่ทันได้ตั้งตัวจึงตกใจ เริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัยจึงรีบควานหาเข็มขัดนิรภัยข้างที่นั่ง
WTF!! รถคันนี้แม่งไม่มีเซฟตี้เบลท์ ตายละกู !
ประเด็นคือประตูที่ผมรู้สึกว่ายังปิดไม่สนิท มันเริ่มที่จะส่งเสียงกึกักราวกับว่าบางชิ้นส่วนของประตูรถคันนี้ไม่ได้ถูกประกอบมาอย่างสมบูรณ์ รถกระป๋องชัด ๆ เลยคันนี้ แต่จะให้ขอลงจากรถและเรียกคันใหม่ก็คงจะกินเวลาไปไม่ต่ำกว่าชั่วโมง ผมในตอนนั้นก็เหนื่อยล้ามากและอยากกลับบ้านให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะได้พักผ่อน เลยตัดสินใจวัดดวงกับคันนี้ไปเลย ผมเริ่มจะรู้สึกจิตตกนั่งบนรถพลางเอามือทั้งสองข้างเกาะเอาไว้ตรงที่จับเหนือหัว ผ่านไปประมาณ 10 นาที ผมเริ่มชินกับเสียงเครื่องยนต์และระดับความเร็วของรถคันนี้แล้วจึงลดอาการเกร็งเพราะความหวาดระแวงลง ทำใจให้สบาย ยังไงตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ถนนก็โล่ง ขับไปอีกไม่นานก็จะถึงบ้านแล้วแหละ
ตั้งแต่ขึ้นรถคันนี้มา รถยังคงวิ่งฉลุยไม่ติดไฟแดงเลยสักหน แต่พอถึงหน้าแยกก่อนเข้าซอยบ้านกลับติดไฟแดงซะอย่างนั้น ในตอนนั้นถนนโล่งมาก มีแค่แท็กซี่คันที่ผมนั่งกับรถเก๋งที่ติดไฟแดงอยู่ข้าง ๆ นอกนั้นก็ไม่มีแล้ว บรรยากาศถนนแถวบ้านผมช่วงกลางคืนจะมีไฟไม่เยอะมากเพราะอยู่นอกตัวเมืองเพราะฉนั้นโดยรวมแล้ว เวลาเที่ยงคืนกว่า ๆ ในตอนนั้นค่อนข้างที่จะมืดพอสมควร "โอ้วว ไฟเขียวแล้ว" ลุงพูดก่อนที่จะเหยียบคันเร่ง แต่คราวนี้รถไม่ไปข้างหน้า กลับหยุดอยู่ที่เดิม ผมยังไม่ตกใจอะไรก่อนที่ไฟหน้าและไฟหลังของรถจะดับลง ตามด้วยแอร์ในรถ วิทยุที่เปิดเพลงหมอลำ และตัวเลขบนมิเตอร์ ไฟทุกดวง และทุกสิ่งที่ทำงานด้วยไฟฟ้าค่อย ๆ ดับลงไปตามลำดับ
"ฉิบหายละ ! เครื่องดับ !" ลุงพูดขึ้นมา และมันก็สร้างความตื่นตระหนกให้กับผมอยู่ไม่น้อยเลย คิดดูสิครับ ถนนโล่ง ๆ รถขับกันเร็ว ๆ แถมบรรยากาศมืด ๆ แบบตอนนั้น ถ้ามีรถผ่านมาก็คงจะไม่เห็นรถคันนี้เป็นแน่แท้ เพราะไฟหน้าไฟหลังก็ดับ ถ้าในตอนนั้นมีรถขับผ่านมาด้วยความเร็วพอประมาณในเลนส์เดียวกันก็คงจะชนเข้ากับคันที่ผมนั่งอยู่ได้เอาง่าย ๆ เลยนะครับ แต่ยังโชคดี (หรือเปล่านะ) ที่ดูเหมือนว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นบ่อยกับรถคันนี้ ลุงเขาก็มีวิธีแก้ปัญหาของเขา โดยสตาร์ทเครื่องยนต์ใหม่พลางเอามือสองข้างกดทุกปุ่มที่มีบนรถ ทั้งปุ่มปิด-เปิดวิทยุ ปุ่มมิเตอร์ ปุ่มหน้าปัดเช็ดน้ำ ปุ่มเปิดไฟเลี้ยว และปุ่มอื่น ๆ อีกมากมาย แม้กระทั่งปุ่มลดกระจกรถ
ลุงทำด้วยความรวดเร็วราวกับว่าเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการแก้ปัญหาเครื่องดับอย่างนี้ซะจนผมอึ้ง ในมี่สุดเครื่องยนต์ก็ติด ผมถอนหายใจราวกับผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์สุดประหลาดนี้ ผมกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า “ก่อนหน้านี้เราเอาชีวิตไปฝากไว้กับอะไรกันแน่”
เหตุการณ์ต่อมาที่ผมนึกถึงหลังจากได้อ่านดราม่าเกี่ยวกับแท็กซี่ก็เป็นเพียงบทสนทนาของผมกังลุงคนขับแท็กซี่อีกคนหนึ่งที่ทำให้ผมคิดอะไรขึ้นมาได้เยอะแยะเลยทีเดียว เหตุเกิดขึ้นตอนกลางคืนอีกละครับ คืนนั้นขณะที่ผมกำลังนั่งแท็กซี่เดินทางไปยังงานเลี้ยงกินดื่มกับเพื่อน ๆ ณ สถานบันเทิงแห่งหนึ่งที่ใจกลางเมือง ยิ่งเป็นวันศุกร์กลางคืน รถมันก็จะติดหน่อย ๆ อะนะ พอนั่งบนรถนาน ๆ ก็เบื่อ เลยหาเรื่องชวนพี่คนขับคุยสักหน่อย
"เป็นไงบ้างครับพี่" ผมถาม
"ดีครับ" เขาว่า "จะไปเที่ยวกันเหรอครับ"
"ใช่ครับ" ผมตอบ
"ดีจังนะครับ" เขาตอบ "ถ้าผมยังอายุเท่าหนุ่มล่ะก็ ผมก็คงจะเที่ยวให้เยอะเหมือนกันครับ เดี๋ยวนี้แก่แล้วคงไม่เหมือนเมื่อก่อน"
"โอ้วว แต่พี่ก็ก็ยังดูหนุ่มนะครับ" ผมตอบ
"อายุน่ะไม่สำคัญหรอก" เขาว่า "แต่มีคนคอยโทรตามตลอดเลยนี่สิ จะหนีเที่ยวก็คงจะโดนจับได้อีก"
"พี่มีครอบครัวแล้วหรือครับ" ผมถาม
"ครับ" เขาตอบ "พูดถึงครอบครัวแล้วผมก็ปวดหัว ลูกผมนี่สิ มันเที่ยวไปตีกับชาวบ้านไปทั่ว เห็นแล้วก็นึกถึงตัวเองสมัยเด็ก ไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้พอได้มาเป็นพ่อคนแล้ว ผมก็เข้าใจพ่อผมในตอนที่ผมยังเด็กขึ้นมาเลย"
"ครับ ฮ่าฮ่าา" ผมว่า "ก็วัยรุ่นอ่ะนะครับ คงจะเป็นเรื่องธรรมดา"
"ใช่ครับ" เขาตอบ "ผมก็ได้แต่ปวดหัวเนี่ย"
เราเงียบกันไปสักพักก่อนที่ผมจะรู้สึกเบื่อและเริ่มถามอีกครั้ง
"พี่ขับแท็กซี่ตอนกลางคืนนี่ไม่ง่วงหรือครับ" ผมถาม
"มันก็ง่วงแหละครับ" เขาว่า "แต่ผมก็ต้องหาเลี้ยงครอบครัว ขับกะกลางวันอย่างเดียวคงไม่พอกิน ผมก็ขับอย่างนี้มา 20 กว่าปีแล้วครับ"
"รายได้มันน้อยขนาดนั้นเลยเหรอพี่" ผมถาม
"ครับ" เขาว่า "หลายคนอาจจะมองแท็กซี่ในประเทศไทยเราแย่นะครับ แต่พวกเรามีรายได้น้อยเกินไปจริง ๆ ไม่ว่าจะทำงานหนักขนาดไหนพอต้องเอาไปเลี้ยงปากท้องครอบครัว มันก็เป็นหน้าที่แหละนะครับ ผมกับครอบครัวกินข้าวด้วยกันภายในหนึ่งวันใช้เงินแค่ 70 บาทเองครับ ที่เหลือก็ต้องเอาไปลงกับค่าเทอมลูก ไหนจะค่าเครื่องเขียน ค่าชุดนักเรียนในแต่ละปี แค่นี้ก็ไม่เหลือเก็บละครับ"
"บางครั้งนะครับ" เขาว่าต่อ "ผมเคยโดนผู้โดยสารโกง มีครั้งหนึ่งผมขับไปส่งฝรั่งที่พัทยาแล้วเขาไม่มีเงินสดจ่าย ตอนนั้นมิเตอร์ขึ้นไปเป็นหลักหมื่น แล้วเขาดันไม่มีจ่าย ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง ด่าไปเขาก็ไม่มีจ่ายอยู่ดี ตอนนั้นผมเลยยอม ๆ เขาไป ผมเจอเหตุการณ์แบบนี้มาไม่ต่ำกว่าสองรอบละครับ ตอนหลังนะครับ พอมีคนจะเรียกให้ไปส่งพัทยาผมก็จะเรียกให้เขาจ่ายมาก่อนเลยครับ ผมถึงจะยอมออกรถ บางคนก็ไม่พอใจ มาด่าผมบ้าง มาขู่ว่าจะเอาผมไปโพสต์ประจานในโซเชียลบ้าง แต่คนไม่เคยโดนแบบผมก็คงไม่รู้ ไปกลับพัทยามันเสียเวลาไปแทบทั้งวันเลยนะครับ ถ้าไม่ได้เงินก็ไม่รู้จะไปทำไม ทีนี้ผมก็ไม่ไว้ใจผู้โดยสารเหมือนกัน"
"เป็นอีกมุมที่ผมก็ไม่เคยได้ยินนะครับ" ผมว่า
"ครับ" เขาพูดต่อ "วันก่อนก็มีผู้โดยสารขอให้ไปส่งฟรี ๆ ผมก็ยอมเขานะ พอเขาลงจากรถก็ยังมาขอเงินเราไปกินข้าวต่อ ผมก็ให้ไป 40 บาท ผมเห็นใจเขา เพราะผมเข้าใจเขาไง ตัวผมเองก็อยู่อย่างลำบากต้องการความช่วยเหลือเหมือนกัน แต่ก็ให้เขาไปเยอะมากไม่ได้เพราะผมเองก็ต้องเอาไปเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียเหมือนกัน 40 บาท คงจะกินได้สักมื้อสองมื้อ"
"ขอบคุณนะครับพี่" อันนี้ผมก็ไม่รู้ว่าขอบคุณทำไม แต่พอฟังที่พี่เขาพูดผมก็รู้สึกอยากขอบคุณขึ้นมา ไม่รู้สินะ ผมอาจจะไม่ได้รู้สึกขอบคุณพี่เขาโดยตรง แต่อาจรู้สึกขอบคุณโลกนี้ที่ยังเหลือคนที่มีจิตใจดีอย่างพี่เขาอยู่มากกว่า
"ขอบคุณทำไมครับหนุ่ม" เขาถาม
"ขอบคุณแทนคนที่ลุงให้เงิน 40 บาทไปมั้งครับ ฮ่าฮ่าา ผมก็ไม่รู้"
"ไม่ต้องขอบคุณหรอกหนุ่ม ใช้ชีวิตให้เต็มที่ก็พอ หนุ่มหน้าตาดีแถมยังฉลาด แค่นี้ก็ดีแค่ไหนแล้ว" เขาว่า
"ผมเหรอครับที่โชคดี?"
"ใช่ครับ" ลุงว่า "พระเจ้าปั้นหนุ่มออกมาหน้าตาดีขนาดนี้ หนุ่มเนี่ยโชคดีกว่าลุงมากขนาดไหนแล้ว"
"ไม่หรอกครับ" ผมว่า "อย่าตัดสินที่หน้าตาสิลุง หน้าตาดีไม่ได้หมายความว่าโชคดีกว่าคนอื่นหรอกครับ" ผมพูดต่อ "ว่าแต่ว่า ลุงนับถือศาสนาคริสต์เหรอครับ?"
"ป่าวครับ" เขาตอบ "ผมก็ชาวพุทธนี่แหละครับ"
"อ้าว!" ผมอุทานแบบงง ๆ "แล้วทำไมถึงพูดถึงพระเจ้าล่ะครับ"
"ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ผมก็คงหมายความในทำนองนั้นแหละครับ" เขาตอบ
ผมคิดในใจว่า เขานับถือศาสนาพุทธ แต่เขาไม่รู้จักศาสนาพุทธจริง ๆ เสียด้วยซ้ำ แม้แต่ผมยังรู้เลยว่าศาสนาพุทธไม่ได้เชื่อในพระเจ้าอย่างคริส์ตหรืออิสลาม แต่กระนั้นแล้วผมก็ได้แต่เก็บเอาไว้ในใจว่าลุงคนนี้ช่างไม่รู้อะไรเอาเสียเลย
"ถ้าทุกคนเท่าเทียมกันจริง ๆ นะครับ" เขาว่าต่อ " โลกนี้คงไม่มีคำว่า 'เจ้านาย' กับ 'ลูกน้อง' หรอก"
พอลุงว่ามาอย่างนี้ ผมก็ยิ่งไม่เห็นด้วยเข้าไปใหญ่ "พี่ฟังผมนะครับ" ผมว่า "ไม่ว่าจะเป็นเจ้านายหรือลูกน้อง ทุกคนต่างเท่าเทียมกันในฐานะมนุษย์ คำว่า 'เจ้านาย' กับ 'ลูกน้อง' มันเป็นเพียงมายาคติที่สร้างขึ้นมาให้เกิดการแบ่งชนชั้น ความจริงแล้วเจ้านายก็คือผู้ที่ถนัดในการบริหารงานหลังบ้านเท่านั้น ส่วนลูกน้องอาจจะไม่ถนัดในการบริหาร แต่ก็มีความสามารถด้านงานฝีมือที่เจ้านายไม่มี ถนัดในการฟังและลงมือทำมากกว่าที่จะมานั่งวางแผน ก็เท่านั้น ทุกคนมีสิ่งที่ถนัดต่างกัน ลูกน้องควรจะเคารพเจ้านายในฐานะที่เจ้านายมีความสามารถในด้านการทำงานกระดาษและวางแผนบริหาร ในขณะที่เจ้านายก็ควรจะเคารพลูกน้องที่มีฝีมือแทนในการทำงาน เป็นตัวแทนเจ้านายผู้ไร้ความสามารถในด้านนี้ได้ อย่างเช่นผมกับพี่ คนอย่างผมคงไม่สามารถขับรถแท็กซี่ได้ทั้งวันทั้งคืนอย่างพี่ และผมก็เคารพพี่ที่ทำหน้าที่นี้ได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะอย่างไรก็ตาม ถ้าไม่มีพวกพี่ตอนกลางคืนผมเมา ๆ อยู่ก็คงไม่รู้จะกลับบ้านยังไงเหมือนกัน เพราะฉนั้นผมในฐานะผู้โดยสารก็เคารพพี่โชเฟอร์เช่นกันครับ"
"พี่ลืม ๆ มันไปนะครับ ที่ผมพูดไปน่ะ ช่างมันเถอะ ไม่สำคัญหรอก" ผมกล่าวแบบนี้เพราะรู้สึกว่าตัวเองพูดจาไม่รู้เรื่อง และมันคงจะเป็นแนวคิดที่เข้าใจยาก ขัดกับวิถีชีวิตทั่วไปของสังคมในปัจจุบัน พูดต่อไปคงจะอึดอัดกันเปล่า ๆ
"เอ่ออ...ครับ ๆ" เขาตอบ
"เอ่อใช่ ว่าแต่ว่าพี่ไม่ง่วงเหรอครับ ตอนนี้ก็ดึกพอสมควรแล้วนะครับ" ผมถาม
"ง่วงสิครับ" เขาตอบ
"แล้วพี่จัดการกับความง่วงยังไงล่ะครับ" ผมถาม
"ก็ไปแอบจอดหลับตามปั๊มน้ำมันน่ะครับ" เขาตอบ
"แบบนั้นก็เสียเวลาทำกินสิครับ" ผมสงสัย
"บางทีง่วงก็ต้องฝืนน่ะครับ" เขาตอบ "ไม่ไหวก็ต้องไหวครับ ฮ่าฮ่าา บางทีชีวิตก็ไม่ได้มีทางเลือกให้เรามากมายนัก"
"แล้วถ้าไม่ไหวจริง ๆ ล่ะพี่" ผมถามย้ำ
"ลุงจะเล่าอะไรให้หนุ่มฟังนะ" เขาว่า "90 % ของแท็กซี่ที่ขับตอนกลางคืนใช้ยาม้ากันหมดแหละครับ"
"......" ผมรู้สึกขนลุกเลยพอได้ยินที่พี่เขาว่า “ยาม้าก็คือยาบ้าอ่ะนะครับ?”
"บางทีตอนลุงจอดแวะเข้าห้องน้ำก็เจอเพื่อนลุงกำลังจะใช้ ตอนนั้นเขาหักครึ่งเม็ดมาให้ลุง ถามลุงว่าจะเอาหน่อยมั้ย ของดีนะ กินเข้าไปละจะดีด ขับส่งผู้โดยสารได้ทั้งคืน"
"แล้วพี่รับไว้ไหมครับ" ผมถาม
"ไม่ล่ะครับ ลุงไม่เอาของแบบนี้"
"ดีละครับพี่" ผมตอบด้วยความโล่งอก “แล้วตอนที่เพื่อนลุงใช้เขามีอาการยังไงอะครับ”
"เห็นเพื่อนลุงเขาบอกว่า กินไปแล้วมันก็จะดีดเลย" เขาว่า
"ดีด?"
"ดีดคือว่าเหมือนตามันจะดีดน่ะครับ หลับตาไม่ได้กล้ามเนื้อก็จะดีด ๆ ทำงานหนัก ๆ ได้ทั้งวันทั้งคืนเลยครับ" เขาอธิบาย
".....แล้วมันดีมั้ยครับพี่" ผมถาม
"มันก็ทำให้ทำงานหาเงินได้มากขึ้นล่ะนะ เพราะส่วนใหญ่ทุกคนก็มีลูกมีเมียต้องเลี้ยงดูกันทั้งนั้น" เขาว่า
"อ่ออ แล้ว...."
"โอ้วว!! ถึงแล้ว" รถขับมาถึงที่หมายพอดี
"โอเคครับพี่ โชคดีนะครับ" ผมบอกลาพร้อมกับควักเงินจ่ายให้กับพี่เขาไป
บทสนทนานี้ทำให้ผมคิดไปหลายต่อหลายเรื่อง จนงานเลี้ยงเลิกราลงแล้ว ผมก็ส่งเพื่อนที่เมาขึ้นรถแท็กซี่กลับบ้านไปทีละคน และก็เรียกอีกคันหนึ่งกลับบ้านด้วยตัวเอง ผมก็ยังคิดไม่ตกกับบทสนทนาที่อยู่ในหัวของผมตลอดงานฉลอง '90 % เลยเหรอวะ' ผมคิดในใจพลางมองไปที่หน้าพี่คนขับที่กำลังขับให้ผมอยู่ ณ ตอนนั้น ‘เรากำลังเอาชีวิตเราฝากไว้กับใครวะ’ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
ผู้อ่านทุกท่านครับ อ่านมาถึงตรงนี้แล้วพอจะเห็นปัญหาบ้างไหมครับ?
อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่ผมหาข้อมูลเกี่ยวกับดราม่าแท็กซี่ที่กล่าวไปในตอนต้นของบทความ ผมก็ได้พบกับดราม่าอื่น ๆ อีกมากมายที่เกี่ยวกับแท็กซี่รวมถึงที่เกี่ยวกับการขนส่งสาธารณะช่องทางอื่นด้วย ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของวินมอเตอร์ไซค์และ Grapbike ที่เกิดการทำร้ายร่างกายกันขึ้นต่าง ๆ นานา หรือไม่ว่าจะเป็นดราม่าฝรั่งไม่จ่ายเงินค่าแท็กซี่ แท็กซี่ไล่ผู้โดยสารลงจากรถ ต่าง ๆ มากมาย
โดยมากนั้นดราม่าต่าง ๆ ก็เกิดขึ้นจาก ปัญหาเรื่องของ ‘รายได้’ อีกนั่นแหละ ก็ใช่น่ะสิ ถ้าเราไม่มีเงิน เราจะใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างไรเล่า คิดแบบพื้ฐาน 'เงินตรา' ถูกสร้างขึ้นมาในการใช้แลกเปลี่ยนกับ 'สินค้า' 'สินค้า' มีเอาไว้ตอบโจทย์ความต้องการพื้นฐาน การแก้ปัญหา หรืออำนวยความสะดวกสบายในการในการดำรงชีวิตของมนุษย์ ยิ่งมีสินค้ามากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งกินดีและอยู่อย่างสะดวกสบาย แต่งตัวสวยหล่อได้ตามใจชอบมากขึ้นไปเท่านั้น แต่การจะได้มาซึ่งสินค้าเหล่านั้น จำเป็นต้องใช้เงินแลกมา ยิ่งต้องการมากยิ่งต้องใช้เงินมาก แต่บางครั้งสินค้าบางประเภทก็มีราคาที่แพงเกินพอดี แต่ด้วยโฆษณาชวนเชื่อไม่ว่าจะทางตรงผ่านทางนิตยสารหรือโทรทัศน์ การใช้นางแบบนายแบบรูปร่างหน้าตาดี และการใช้ ‘สื่อ’ อื่นใดก็ดี หรือจะในทางอ้อมผ่านวัฒนธรรม soft power ค่านิยมต่าง ๆ ว่ายิ่งใช้ของแพงยิ่ง ‘ดูดี’ คำ ๆ นี้ช่างใกล้เคียงกับดู 'รวย' นะ
ยิ่งอยากได้เงินยิ่งต้องทำงานหนัก แต่เพื่อที่จะมีอนาคตที่สะดวกสบาย จะดูแลพ่อแม่ จะรักษาอาการป่วยไข้ จะเหนื่อยจะหนักแค่ไหนก็ยอม ทุกวันนี้ความฝันของคนส่วนใหญ่ก็คงจะเป็นการทำงานเพื่อหาเงินสนองความต้องการของตัวเองและคนรอบข้างเป็นหลัก เป็นความฝันที่อยาก 'รวย' จะได้อยู่อย่างสบาย บางคนฝันว่าจะทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ บางคนฝันว่าอยากจะมีชื่อเสียงให้คนยอมรับ บางคนฝันว่าไม่อยากทำอะไรเลย แค่มีคนรวย ๆ มาเป็นคู่ครองให้เขาคอยดูแลเขาอย่างสะดวกสบาย เขาอยากได้อะไรก็มีคนมาตอบสนองเสมอ ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความฝัน ความจริง ก็ถูกบดบังด้วย ‘เงิน’ ไปเสียหมดแล้วในปัจจุบันนี้ ทุกวันนี้ ‘เงินรับใช้เรา’ ในการแลกเปลี่ยนสินค้า หรือเป็น ‘เรารับใช้เงิน’ จนต้องยอมทำแทบทุกอย่างกันแน่ครับ
เพราะอย่างไรเสีย ทุกวันนี้มนุษย์ก็เดินทางมาถึงจุดที่ไม่สามารถขาดเงินได้เสียแล้ว และผมเองก็คงจะกล่าวโทษระบบทุนนิยมที่เข้ามาครอบงำโลกใบนี้อย่างเดียวไม่ได้ ผมคงจะต้องกล่าวโทษเหล่ามนุษย์เสียด้วยที่อ่อนแอเกินไปจนถูกครอบงำ'ความจริง' ที่ผมเชื่อและพยายามเดินเข้าไปหา กลับถูกสกัดกั้นโดย 'ความเป็นจริง' เสียจนหมดหนทาง ผมไม่รู้ว่าทุกอย่างบนโลกนี้มันผิดเพี้ยนไปเสียหมด หรือเฉพาะตัวผมที่ผิดเพี้ยนไปกันแน่ ดราม่าแท็กซี่ และพี่แท็กซี่ที่ผมคุยด้วยก็เป็นตัวอย่างชั้นดีของการตกเป็นเหยื่อของเงินตราจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร การใช้ยาม้าหรือยาบ้าก็เพื่อให้ได้ทำงานหนักหาเงินได้เยอะขึ้น
คุณคิดจะหาเงินให้ตัวเอง แต่ไม่ได้สนใจความปลอดภัยของผู้โดยสาร ถ้าคุณเสพเองขับรถเองรับผลของความเสียหายด้วยตัวเองมันก็เป็นสิทธิ์ของคุณ แต่ตราบใดที่มันมีความเสี่ยงต่อผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นผู้โดยสาร คนที่ข้ามถนน หรือรถทุกคันที่อยู่ร่วมถนน ถ้าคุณเมายาแล้วไปทำอันตรายต่อพวกเขาล่ะ แต่ก็อีกนั่นแหละ ระบบมันสั่งให้คนต้องหาเงิน คนจึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อหาเงิน เราก็คงจะโทษพวกเขาอย่างเดียวไม่ได้ เพราะถ้าเขาไม่มีเงิน เขาและครอบครัวก็คงจะอยู่ไม่รอด อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าวันนี้ความสำคัญของเงินตรามันมีค่ามากกว่าความเป็นมนุษย์ไปเสียแล้ว ความปลอดภัยของชีวิต จึงมีค่าน้อยกว่าการก้มหน้าก้มต่าหาเงินในปัจจุบัน นี่ไม่ได้พูดถึงในสเกลของแท็กซี่เท่านั้นนะครับ ยังรวมไปถึงการก่ออาชญากรรม การคอร์รัปชั่น และความอยุติธรรมต่าง ๆ ในสังคมที่มีต้นเหตุมาจากเงินตราด้วยกันทั้งนั้น
พอถึงตรงนี้ ผู้อ่านพอจะเห็นกันหรือยังครับ ว่าทุกวันนี้ เราฝากชีวิตไว้กับใครบ้าง?
โอ้วว ลืมไปเลย ก็ประกันไงล่ะครับ ผมฝากชีวิตไว้กับประกันชีวิตครับ ฮ่าฮ่า ทุกวันนี้วงเงินก็เป็นเจ้าของชีวิตเราไปแล้วใช่ไหมล่ะครับ ฮ่าฮ่า
ที่มา : สรวง สิทธิสมาน