‘มะเร็งลำไส้ใหญ่’ คร่าชีวิตคนไทยปีละกว่า 3 พันคน เผยปัจจัยเสี่ยงอาหารปิ้งย่าง
เวที สช. เจาะประเด็นห่วงแนวโน้ม ‘มะเร็งลำไส้ใหญ่’ คร่าชีวิตคนไทยปีละกว่า 3,000 คน ผอ.สถาบันมะเร็งแห่งชาติ เผยปัจจัยเสี่ยงโดยเฉพาะการรับประทานเนื้อแดง เนื้อแปรรูป อาหารปิ้งย่าง ย้ำเร่งคุมเข้มฟาร์มปศุสัตว์และเจ้าของเขียง หลังตรวจพบสารเร่งเนื้อแดงบ่อยครั้ง
เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) จัด เวที สช.เจาะประเด็น ครั้งที่ 3/2561 เรื่อง “กินเปลี่ยนชีวิต หยุดวิกฤตมะเร็งลำไส้ใหญ่” ณ ห้องประชุมบองมาร์เช่ มาร์เก็ต ประชานิเวศน์ 1
นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวว่า โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงเป็นมะเร็งที่พบบ่อย 1 ใน 5 ของประเทศไทย มีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่องและมีผู้เสียชีวิตกว่า 3,000 รายต่อปี ปัจจุบันพบผู้ป่วยชาย 6,874 รายต่อปี ผู้ป่วยหญิง 5,593 รายต่อปี จัดเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 3 ในเพศชาย และอันดับ 4 ในเพศหญิง
สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรค ได้แก่ ผู้ชอบรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง อาหารฟาสต์ฟู้ด เนื้อแดง เนื้อแปรรูป หรืออาหารปิ้งย่างจนไหม้เกรียม และกินอาหารที่มีเส้นใยไฟเบอร์พวกผัก ผลไม้น้อย ผู้ที่สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า ออกกำลังน้อย ผู้มีประวัติหรือคนในครอบครัวเคยเป็นมะเร็งลำไส้หรือเคยมีติ่งเนื้อในลำไส้ชนิด Adenomatous polyps และผู้มีปัญหาระบบขับถ่าย เช่น ลำไส้อักเสบ ท้องผูกเรื้อรัง ภาวะลำไส้แปรปรวน เป็นต้น และมักพบโรคในผู้สูงอายุวัย 50-70 ปี ส่วนกลุ่มอายุน้อยกว่า 50 ปีที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ฯ อาจมีโอกาสเกิดโรคสูงขึ้นเช่นกัน
"มะเร็งลำไส้ใหญ่ส่วนหนึ่งป้องกันได้หากหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ และตรวจคัดกรองตั้งแต่ในระยะเริ่มแรก จะทำให้การรักษาได้ผลดีและเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่า โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติรณรงค์ให้ความรู้และแนวทางป้องกัน ควบคู่กับโครงการคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงให้ผู้มีอายุ 50-70 ปี เข้ารับการตรวจเลือดแฝงในอุจจาระที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหรือโรงพยาบาลใกล้บ้านโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย"
นพ.วีรวุฒิ กล่าวอีกว่า ประเทศไทยมีแนวโน้มอุบัติการณ์มะเร็งลำไส้ใหญ่ฯ สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะคนไทยเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไปคล้ายชาวตะวันตก หากไม่มีนโยบายคัดกรองมะเร็งลําไส้ใหญ่ฯอย่างจริงจัง จํานวนผู้ป่วยจะเพิ่มขึ้นประมาณ 2 เท่า ภายในระยะเวลา 10 ปี มาอยู่ที่ราว 20,000 ราย ซึ่งย่อมส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากขึ้นตามไปด้วย
ขณะที่ผศ.ดร.ชนิพรรณ บุตรยี่ ผู้เชี่ยวชาญด้านพิษวิทยาศาสตร์ทางอาหารและโภชนาการ สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงภาวะโภชนาการที่มีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ คือ ผู้ที่กินผักผลไม้น้อย ชอบกินเนื้อหมู เนื้อวัว และผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูปเป็นประจำ เช่น ไส้กรอก แฮม เบคอน แหนม กุนเชียง หรือท้องผูกเป็นประจำ ดังนั้น ข้อแนะนำสำหรับประชาชนคือ ไม่ควรรับประทานเนื้อแดงเกิน 500 กรัม หรือครึ่งกิโลกรัมต่อสัปดาห์ และควรสลับกับเนื้อไก่ เนื้อปลา หลีกเลี่ยงการรับประทานเนื้อสัตว์แปรรูปบ่อยๆ ขณะเดียวกันควรเพิ่มการบริโภคผัก ผลไม้ เพราะใยอาหารจะช่วยเร่งการขับถ่ายทำให้ของเสียไม่ตกค้างในลำไส้และเพิ่มจำนวนแบคทีเรียที่ดีที่เจริญในลำไส้ใหญ่ ลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ได้ นอกจากนั้น ควรมีการควบคุมปริมาณการใช้วัตถุเจือปนในอาหารแปรรูป เช่น สารไนไตรท์ สารไนเตรท ให้เป็นตามกำหนดในประกาศของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) อย่างจริงจัง
ด้านนายสิทธิพร บุรณนัฏ ผู้จัดการสหกรณ์เครือข่ายโคเนื้อ จำกัด กล่าวถึงสถานการณ์ความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์เนื้อวัวว่า ปัจจุบันการบริโภคเนื้อวัวของประเทศไทย แบ่งเป็น 3 ตลาด ได้แก่ตลาดพรีเมี่ยม ตลาดโมเดิร์นเทรด และตลาดเขียง โดยส่วนที่เป็นปัญหาใส่สารเร่งเนื้อแดง ส่วนมากเกิดจากตลาดเขียงที่จำหน่ายในตลาดสด โดยกรมปศุสัตว์ตรวจพบสารเร่งเนื้อแดงตั้งแต่การเลี้ยงในฟาร์ม เนื่องจากผู้ผลิตไม่ต้องการให้เนื้อวัวมีไขมัน ซึ่งผู้บริโภคที่ซื้อไปรับประทานจะดูสภาพเนื้อวัวที่ใช้สารเร่งเนื้อแดงนี้ได้ยาก
“สารเร่งเนื้อแดงเป็นสารที่ผิดกฎหมาย ทางเจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ได้ออกตรวจตราเป็นพิเศษ จับกุมผู้กระทำผิดอยู่บ่อยครั้ง ส่วนตัวคิดว่าจะลงโทษฟาร์มอย่างเดียวไม่ได้ ต้องให้ความรู้และสร้างความรับผิดชอบกับเจ้าของเขียงที่นำมาจำหน่ายด้วย รวมถึงให้ความรู้แก่ผู้บริโภคเลือกผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานและมีระบบตลาดสอบสินค้าที่รวดเร็ว”
สำหรับสมาชิกของสหกรณ์เครือข่ายโคเนื้อ เป็นการรวมตัวของกลุ่มผู้ผลิตกว่า 100 ราย มุ่งจำหน่ายเนื้อในตลาดพรีเมี่ยมหรือเนื้อวัวราคาสูงที่มีไขมันแทรกอยู่ ดังนั้นผู้เลี้ยงจึงไม่มีการใส่สารเร่งเนื้อแดงอย่างแน่นอน ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ของสหกรณ์ฯ ขายให้ภัตตาคาร ร้านอาหาร ร้านปิ้งย่างที่มีชื่อเสียง เป็นต้น
ด้าน นายจาคี ฉายปิติศิริ ผู้ดูแลเพจ ‘จาคี มะเร็งไดอารี่’ กล่าวถึงประสบการณ์ตรงของผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะสุดท้าย เมื่อเริ่มการรักษาก็ต้องพบกับผลข้างเคียงหลายอย่าง แต่ก็พยายามทำตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวแข็งแรงมากพอที่จะรับการรักษาต่อไป โดยปรับปรุงเรื่องอาหาร การออกกำลังกาย ดูแลสภาพจิตใจตัวเองและคนรอบข้างให้ดีที่สุดจนการรักษาผ่านไปได้อย่างราบรื่น
“ผมเชื่อว่าสิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าการสู้โรค คือการสู้กับความไม่รู้ นำมาซึ่งความวิตกกังวลและความกลัว แต่ถ้าเรามีข้อมูลมากเพียงพอก็จะเข้ารับการรักษาด้วยความเข้าใจ จึงพยายามสอดแทรกเนื้อหาส่งเสริมสภาพจิตใจให้ผู้ที่ติดตามรู้สึกเหมือนเราเป็นเพื่อน ระหว่างป่วยจึงเริ่มพัฒนาเพจ ‘จาคีมะเร็งไดอารี่’ เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ในแง่มุมที่เป็นประสบการณ์ตรงจากการรักษา นำเสนอในสิ่งที่ตนเองเคยเป็นหรือเคยทำมาแล้ว ซึ่งแพทย์และพยาบาลเป็นผู้แนะนำ”ผู้ดูแลเพจ ‘จาคี มะเร็งไดอารี่’ ระบุ และว่า ปัจจุบัน พยายามใช้ชีวิตให้อยู่ในมาตรฐานคนสุขภาพดีทั่วไป คือเลือกกินอาหารที่ดีมีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ แนะนำว่าทุกคนควรหันมาดูแลสุขภาพตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะคนที่มีต้นทุนทางสุขภาพดี ย่อมจะมีโอกาสฟื้นตัวได้ดีกว่าคนที่ไม่เคยดูแลสุขภาพมาก่อน
ผศ.ดร.วีระศักดิ์ พุทธาศรี รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ผู้บริโภคต้องรู้เท่าทันโรคเพื่อให้สามารถป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ โดยทุกภาคส่วนพยายามรณรงค์ให้ผู้บริโภคมี ความรู้เท่าทันด้านสุขภาพ (Health Literacy) โดยเฉพาะเมื่อเทคโนโลยีและสังคมออนไลน์มาเกี่ยวข้อง ทุกฝ่ายจึงต้องรู้เท่าทันเรื่องดิจิทัล (Digital Literacy) และ รู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) ด้วย เพื่อเสพข้อมูลข่าวสารอย่างมีวิจารณญาณและช่วยกันจับตาข้อมูลที่บิดเบือนในยุค 4.0 อย่างไรก็ดี การรณรงค์ให้ความรู้เท่าทันสุขภาพด้านอาหารเป็นเรื่องค่อนข้างยาก เช่น ควรแนะนำให้ “หลีกเลี่ยง” หรือดู “ความเหมาะสม” หมายถึงผู้บริโภคต้องมีความเข้าใจและตระหนักในการเลือกรับประทานมากกว่าความชอบส่วนตัวและรสชาติ ดังคำกล่าวที่ว่า “you are what you eat” สุขภาพอยู่ที่เราเลือก
ผศ.ดร.วีระศักดิ์ กล่าวด้วยว่า ความรู้เท่าทันด้านสุขภาพ ถูกกำหนดไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีเพื่อป้องกันและควบคุมปัจจัยคุกคามสุขภาพ รวมทั้งอยู่ในแผนปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข ซึ่งการประชุม “สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 11” ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-14 ธันวาคม 2561 ณ ศูนย์ประชุมวายุภักดิ์ ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ คณะกรรมการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติจึงนำเรื่อง “ความรอบรู้ด้านสุขภาพเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคไม่ติดต่อ (Health Literacy for NCDs)” เป็นระเบียบวาระหนึ่งเพื่อพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายแบบมีส่วนร่วม ภายใต้ธีมงาน “รู้เท่าทันสุขภาพ ร่วมสร้างสังคมสุขภาวะ”