"ชีวิตนี้ช่างเป็นเช่นกระดาษ"
หลังจากใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯมาเกือบทั้งชีวิต และเดินทางท่องเที่ยวไปตาม "เมือง" ต่าง ๆ ในแต่ละมุมของโลกไม่ว่าจะเป็น นิวยอร์ค ลอนดอน ปารีส โรมและอื่น ๆ บ้างชั่วครั้งชั่วคราว รวมทั้งในปัจจุบันก็ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจแห่งเอเชีย ณ มหานครเซี่ยงไฮ้ แต่สองสามปีหลังมานี้ผมเพิ่งจะได้ค้นพบว่า ความสุขที่ง่ายที่สุดของผมคือการพาตัวเองออกจากเมืองไปอยู่ท่ามกลาง "ธรรมชาติ" เท่านั้น
ไม่ใช่ว่าเกลียดชีวิตในเมือง แต่เมื่ออยู่ไปนาน ๆ ผมเริ่มจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนดั่ง "กระดาษ" ที่โดนผู้เป็นเจ้าของขีดเขียนเงื่อนไขชีวิตต่าง ๆ ลงไปได้ตามใจ โดยก่อนที่จะรู้ตัว "เมืองแห่งกระดาษ" ก็ได้กลืนกินตัวตนของผมลงไปจนไม่รู้ว่าจะหาทางออกได้ที่ไหน
มีใครรู้สึกว่าตัวเองเป็น "กระดาษ" ตามความหมายที่ผมสื่อไปบ้างไหมล่ะครับ ?
ถ้าไม่ ผมบอกได้เลยว่าคุณนั่นแหละคือกระดาษคุณภาพดีที่สมบูรณ์แบบ เพราะหนึ่งในเงื่อนไขของการเป็นกระดาษที่เขาเขียนเอาไว้ในตัวคุณคือ "คุณต้องไม่รู้ว่าตัวเองคือกระดาษ" นั่นเอง อย่างไรก็ตามเมื่อสามารถค้นพบได้ว่าความสุขที่หาได้ง่ายที่สุดสำหรับผมคือการพาให้ตัวเองให้ปลิวไปอยู่ท่ามกลาง "ธรรมชาติ" และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดทริปฟินแลนด์ขึ้นมา
ผมตัดสินใจเดินทางคนเดียวเพื่อที่จะสลัดเงื่อนไขของการเดินทางเป็นกลุ่มทิ้งไป และปลดปล่อยตัวเองให้ได้รู้สึกถึงอิสรภาพอย่างเต็มที่แม้ว่าจะมีเวลาจำกัดอยู่ก็ตาม ผมค่อนข้างเอ็นจอยไปกับการเดินป่าสัมผัสความสุขที่ธรรมชาติสามารถให้กับมนุษย์เราได้เสมอ น้ำที่ใสกิ๊งไร้ซึ่งขยะ บ่งบอกถึงวิถีชีวิตของชาวฟินน์ที่แม้จะรักการทองเที่ยวแบบผจญภัยเดินป่าปีนเขา แต่ก็มีจิตสำนึกอนุรักษ์พอที่จะไม่ทิ้งของใช้แล้วที่นำมาจากเมืองเอาไว้เลย เรียกได้ว่าในหนึ่งวันไม่ว่าจะมีคนเดินเข้ามาในป่าจำนวนมากน้อยแค่ไหน พอจบวันป่าก็ยังคงสภาพเดิม ไร้ซึ่งร่องรอยขยะ เมื่อพบเห็นสิ่งที่ชาวฟินน์เขาทำกัน มันก็พลอยสร้างจิตสำนึกในลักษณะเดียวกันให้กับตัวผมอย่างอัตโนมัติ
สิ่งที่ประทับใจที่สุดในทริปนี้ เห็นจะเป็นการนั่งดูดาวที่ผมแทบจะใช้เวลาทั้งคืนนั่งอยู่กับท้องฟ้า ดวงดาวนับล้าน จันทร์เต็มดวงส่องสว่างกระทบกับผืนป่าที่อยู่ล้อมรอบตัว แม้ว่าผมจะพยายามถ่ายรูปออกมาเท่าใด มันก็ออกมาไม่เหมือนภาพที่ตาผมเห็นเลยสักรูป ข้อนี้อาจเป็นเพราะผมยังเป็นแค่มือสมัครเล่นเท่านั้น
สิ่งที่ได้จากภาพจำอันงดงามนั้นคือการจุดประกายให้ผมอยากรู้วิชาดาราศาสตร์ให้ลึกกว่าเดิม เพื่อที่จะต่อยอดฝันที่ว่า เศษเสี้ยวของจักรวาลอย่างเราจะได้ไปยืนอยู่บนแสงเหล่านั้นสักดวงบนท้องฟ้า ที่แม้จะไม่มีวันเป็นจริง แต่อย่างน้อยก็จะได้มีความรู้เอาไว้เป็นวัตถุดิบในการจินตนาการภาพฝันที่สมจริงมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติที่อยู่รอบตัวบนโลกเดียวกันก็นับว่ามหัศจรรย์จนผมรู้สึกซาบซึ้งและยินดีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ และได้มีดวงตาที่สามารถสร้างความสุขได้จากการมองเห็น
ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็น "มนุษย์" ไม่ใช่ "กระดาษ" ไปในชั่วขณะหนึ่ง นั่งคิดอยู่กับตัวเองว่าต่อให้ผมมีความสุขกับกิจกรรมที่กำลังทำอยู่แค่ไหน ผมก็ต้องกลับเข้าเมืองกระดาษไปอยู่ดี เพราะอย่างไรก็ตามมันก็เป็นที่ที่ผมโตมา เป็นที่ที่พัฒนาไปไกลกว่าป่าเขาที่อยู่ล้อมรอบผม
คิดตลกตามเล่น ๆ ดูละกันนะ ผมนอนเตียงมาตลอดชีวิต ต่อให้อยากนอนตามพื้นป่าเพียงไหน กระดูกและผิวหนังของผมก็ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อการนอนเตียงอยู่ดี ผมใส่รองเท้ามาทั้งชีวิต อยากเดินเท้าเปล่าในผืนป่านี้ขนาดไหน เท้าของผมก็คงไม่แข็งแรงพอที่จะไม่ใส่รองเท้าได้อีกแล้ว ผมซื้ออาหารมาปรุงก่อนที่จะกินตลอดชีวิต ต่อให้จะรักการใช้ชีวิตแบบธรรมชาติขนาดไหน แต่จะให้ผมล่าสัตว์กินสด ๆ แบบคนยุคหินก็คงไม่ไหว
เราพัฒนากันมาไกลเกินกว่าจะหวนกลับไปใช้ชีวิตแบบเก่าที่พึ่งพาโดยปราศจากการทำร้ายผืนป่าลำธารไม่ได้อีกแล้ว เราไม่รู้จักคำว่า "ธรรมชาติ" ที่แท้จริงอีกแล้ว
สำหรับผมแล้ว ธรรมชาติคือสัจธรรมที่มีความ "เที่ยงธรรม" ที่สุด กล่าวคือ ธรรมชาติไม่เคยแน่นอน ไม่เคยคาดเดาได้ สร้างความยุติธรรมขึ้นมาอยู่อย่างสม่ำเสมอ เป็นแบบนี้เสมอมา และจะเป็นแบบนี้เสมอไป
การทำงานอันเที่ยงธรรมของธรรมชาติคือไม่ว่ามันจะสร้าง "การเกิด" ขึ้นมาด้วยเหตุผลใด มันก็จะถูกหักล้างไปด้วย "ความตาย" เสมอ แต่สิ่งที่มนุษย์อย่างเรา ๆ ไม่เคยจะเข้าใจกันเลยก็คือเหตุผลของ "ความสุข" และ "ความทุกข์" ที่เป็นตัวกำหนดเงื่อนไขในการใช้ชีวิตของเราทุกวันนี้ มนุษย์เราทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะมีความสุขและวิ่งหนีจากความทุกข์ หารู้ไม่ว่าการคาดหวังในการมีความสุขนั่นเองที่เป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งปวง
เมื่อมีความสุข ไม่ว่าจะจากเงินทอง ชื่อเสียงเกียรติยศ หรือความรัก เรามักจะอยากเก็บความสุขนี้เอาไว้ให้ยาวนานที่สุด ทำให้เราไม่อยากตาย อยากอยู่ไปแบบอมตะ และที่ว่าตายก็ไม่ได้หมายถึงชีวิต แต่หมายถึงความสุขนั่นเอง เช่นเดียวกันคำว่าอมตะก็ไม่ได้หมายถึงความอยู่ยงคงกระพัน แต่อาจหมายถึงการตายเยี่ยงผู้ยิ่งใหญ่ที่แม้จะหมดอายุของกายหยาบ แต่ถูกกล่าวถึงไปอีกยาวนานราวกับว่าเป็นอมตะจริง ๆ หรืออาจหมายถึงการคาดหวังที่จะมีลูกและการฝังตัวตนของเราลงไปในลูกเพื่อที่ในยามแก่เฒ่าลงไป จะได้มองย้อนกลับไปในตัวตนของเราที่อยู่ภายในตัวลูก และเมื่อเราสิ้นใจลงไป ลูกก็จะสืบทอดตัวตนของเราต่อไป นั้นก็อาจนับได้ว่าเป็น "ความเป็นอมตะ" ในรูปแบบหนึ่ง
อย่างไรก็ตามถ้าเรามาตีความคำว่า "ความตาย" กันอีกครั้ง ซึ่งตามความเชื่อของผม ผมไม่เชื่อในโลกหลังความตาย ไม่ว่าจะเป็นสวรรค์หรือนรกก็ฟังดูเป็นเพียงเงื่อนไขให้คนเราทำดีในมิติที่แค่ทำเพื่อให้ได้บุญหรือเพราะกลัวบาปเท่านั้น ไม่ได้ทำเพราะจิตสำนึกในการทำดีเพื่อส่วนรวมอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นสำหรับผม ความตายก็คือความว่างเปล่า มันคือจุดจบของเงื่อนไขทั้งปวง จุดจบของความทุกข์และความสุข เมื่อตายไปเราก็จะไม่สามารถตระหนักรู้อะไรได้อีก ไม่ว่าเราจะตายดีหรือตายอย่างอนาถา สุดท้ายมันก็คือความตายอยู่ดี
กล่าวง่าย ๆ คือ "ความตาย" นั่นแหละ คือจุดสิ้นสุดของการรับรู้ต่อทุกสิ่งที่รามีในระหว่างที่ยังมีชีวิตเท่านั้น ไม่ว่าญาติ ๆ จะจัดงานศพให้เรายิ่งใหญ่แค่ไหน นาน 3 วันหรือ 500 วัน คนจะหัวเราะเยาะสะใจ หรือโศกเศร้า ต่อการจากไปของเรา สุดท้ายมันก็ว่างเปล่า ไม่มีอะไรที่เรารับรู้ได้ นอกจากความว่างเปล่า นี่แหละคือตรงที่ผมชอบในความเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าเราจะเกิดมามีทุกอย่างหรือไม่มีอะไรเลย สุดท้ายแล้วเราก็ตายในลักษณะเดียวกัน คือว่างเปล่า
ความจริงมีเพียงแค่การเกิดและดับสูญ หลังจากเกิดและก่อนที่จะดับสูญ ความดีและความเลว ความงามและความอัปลักษณ์ ความรวยและความจน ความสุขและความทุกข์ ล้วนเป็นเงื่อนไขที่ทำให้เราไร้ซึ่งเสถียรภาพที่อยู่ ณ จุดกึ่งกลางของทุกสิ่ง "ความว่างเปล่า" นั่นเอง
เมื่อจบทริปแล้ว ผมก็กลับเข้าสู่เมืองกระดาษอีกครั้ง กลับสูเงื่อนไขเดิม ๆ บรรยากาศเดิม ๆ แต่สิ่งที่กระดาษแผ่นนี้ได้มาหลังจากเข้าไปใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติมานั้น ก็คือการตระหนักได้ถึงความเป็นกระดาษมาโดยตลอดของตัวตนที่ผ่านมานั่นเอง
อย่างไรก็ตามแต่ ผมเพียงถ่ายทอดความรู้สึกอันเข้าใจยากที่ผมตระหนักขึ้นมาได้ระหว่างทริปเท่านั้น ณ วันนี้ตัวผมก็กลับกลายเป็นกระดาษอีกครั้ง และพร้อมที่จะปฏิบัติตามเงื่อนไขที่เคยเป็นมา ความแปลกทั้งหมดของผมจะจบแค่เพียงในบทความนี้เท่านั้น เพียงแต่กระดาษแผ่นนี้ แทนที่จะให้สารพัดเงื่อนไขภายนอกมาขีดเขียนทั้งหมด ผมจะพยายามขีดเขียนด้วยตัวเองให้มากที่สุด