ท่องฟินแลนด์และย้อนมองตัว
ฟินแลนด์ ดินแดนแห่งทะเลสาบๆ (Land of a thousand lakes)
เมื่อได้ยินชื่อของประเทศนี้ เราอาจนึกถึงภาพของป่าไม้ ทะเลสาบ หิมะ และ 'แสงเหนือ' หลายคนอาจได้ไปชมความงดงามของธรรมชาติในประเทศนี้มาแล้ว และตัวผมเองก็พิ่งกลับมาจากทริปแบบกึ่งๆ Wilderness life ที่ฟินแลนด์มาก็บอกได้เลยว่าประทับใจมาก
นอกจากความสวยงามทางธรรมชาติ ประเทศนี้ยังถูกยอมรับในฐานะประเทศที่มีระบบการศึกษาที่ดีที่สุดในโลก และถูกจัดอันดับรายงานความสุขโลกประจำปี (World Happiness Report) ขององค์กรสหประชาชาติปีล่าสุดระบุว่า ประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลกคือ ฟินแลนด์
ประเทศนี้ยังมีข้อดีอีกมากมายที่เคยมีคนยกมาถ่ายทอดเป็นประเด็นในหัวข้อต่างๆ อาทิ สังคมรัฐสวัสดิการ ความเท่าเทียมทางเพศและวัย ความเหลื่อมล้ำทางฐานะที่ต่ำมาก ฯลฯ แต่ผมจะไม่ยกเรื่องเหล่านี้มาเป็นประเด็นหลักในบทความนี้ จะขอยกประเด็นที่เป็น Dark side ของที่นี่มาพูดเชื่อมโยงกับประเด็นข้อดีต่างๆ ที่ได้กล่าวมาข้างต้นนี้
เป็นที่แน่นอนในตรรกะของผมว่าเมื่อมีด้านสว่าง (Light side) ก็ต้องมีด้านมืด (Dark side) เป็นภาพสะท้อนเสมอ ฟินแลนด์ที่แม้จะเป็นประเทศที่มีดัชนีความสุขจากประชากรเป็นอันดับต้นๆ แท้จริงแล้วก็เป็นประเทศมีด้านมืดอยู่พอสมควร
สิ่งแรกเลยคือประเทศนี้เพิ่งจะมีเอกราชมาได้เพียง 100 ปี โดยประมาณเท่านั้น จากที่เคยถูกปกครองโดยสวีเดนมาหลายร้อยปีก่อนที่จะตกเป็นดินแดนภายใต้จักรวรรดิรัสเซียและประกาศอิสรภาพในค.ศ. 1917 แต่ก็ยังต้องมาตกอยู่ในสภาวการณ์สงครามกลางเมืองระหว่างฝ่ายขาว (อุดมการณ์ขวา) สนับสนุนโดยเยอรมนี และฝ่ายแดง (อุดมการณ์ซ้าย) สนับสนุนโดยรัฐบาลบอลเชวิกของโซเวียตที่นำโดยเลนนินนั่นเอง ซึ่งฝ่ายขาวชนะและก่อตั้งสาธารณรัฐขึ้นมาสำเร็จ
ภายหลังจากสงครามการเมืองสิ้นสุดลงก็ยังต้องรบกับสหภาพโซเวียตในสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยร่วมมือกับนาซีเยอรมันและประเทศสมาชิกฝ่ายอักษะ แต่ภายหลังฟินแลนด์ได้แปรพรรคเพื่อขับไล่กองทัพนาซีออกจากประเทศทางตอนเหนือในสงครามแลปแลนด์ และเมื่อสงครามสิ้นสุดลงฟินแลนด์ที่เคยเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะก็ถูกตีตราว่าเป็นประเทศแพ้สงครามและต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามเป็นจำนวนมหาศาลรวมถึงดินแดนบางส่วนให้กับสหภาพโซเวียตอยู่ดี ซึ่งนี่ก็คงจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ชาวฟินน์นั้นไม่ชอบคนรัสเซียเอาเสียเลย เพราะบาดแผลที่มาพร้อมกับสงคราม การฆ่าคนหนุ่มที่ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร การกระทำชำเราขืนใจเด็กและหญิงสาวไร้เดียงสา เช่นเดียวกับทุกๆ สงครามที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้
ประการที่สองคือ ความหนาว !
ไม่ต้องพูดมากเลยครับ พื้นที่หนึ่งในสี่ส่วนของที่นี่อยู่ในเขตวงกลมอาร์คติก (Arctic circle) ทำให้รัฐทางตอนเหนือของประเทศมีฤดูร้อนที่ค่อนข้างอบอุ่นแต่มีฤดูหนาวที่ค่อนข้างรุนแรงและยาวนานราวครึ่งปี ฤดูหนาวมาพร้อมกับกลางคืนแสนยาวนานโดยพระอาทิตย์จะไม่ขึ้นเลยเป็นเวลา 51 วัน เช่นเดียวกับฤดูร้อนที่พระอาทิตย์ไม่ตกเลยเป็นเวลา 73 วัน
ความหนาวมิใช่เพียงแต่ทรมานให้ร่างกายเท่านั้น แต่ด้วยอุณหภูมิติดลบเกิน 20 องศาเซลเซียสทำให้ไม่สามารถเพาะปลูกอะไรได้เลย เพราะฉะนั้นในฤดูหนาวทุกครั้ง นอกจากความหนาวเหน็บแสนทรมาน ก็ความอดอยากนี่แหละที่ทรมานยิ่งกว่า
นอกจากสงครามและความหนาวก็ยังมีสภาพภูมิประเทศทั่วไปซึ่งตั้งแต่เหนือจรดใต้ของประเทศเป็นที่ราบครอบคลุมด้วยป่าสนจึงมีพื้นที่เพาะปลูกไม่มากนัก การกสิกรรมต่าง ๆ จึงเป็นไปเพื่อเลี้ยงปากท้องคนภายในประเทศเท่านั้น ไม่สามารถสร้างเป็นธุรกิจส่งออกใหญ่โตได้เท่าไรเนื่องจากอุปทานของธรรมชาติยังมีไม่มากพอนั่นเอง ยิ่งถ้าพูดถึงฤดูหนาวก็คงไม่ต้องอธิบายต่อแล้วว่ามันจะยิ่งแย่ไปอีกขนาดไหน
เพราะฉะนั้น หลังจากที่ผมได้ไปเห็นสภาพแวดล้อม และหาข้อมูลมาเสริมภาพที่ได้เห็น ก็ได้ความว่า แท้จริงแล้วประเทศฟินแลนด์นี้...
"แทบไม่มีอะไรเลย"
แต่ทำไมเขาถึงเป็นหนึ่งในประเทศตัวอย่างในอุดมคติของชาวโลกที่เป็นต้นแบบในหลาย ๆ ด้าน ? พื้นฐานเขาก็แค่สงคราม ความหนาว และการเพาะปลูกแทบไม่ได้เลย
ทำไม ?
สงครามได้ให้อะไรกับประเทศนี้บ้างนอกจากการต่อสู้อันโหดร้ายและนำมาซึ่งการสูญเสีย ?
'ภาพจำ' ของสงครามที่ดูเหมือนจะขมขื่น แต่ความขมขื่นในตัวของภาพจำเหล่านั้นกลับได้สร้าง 'กระแสหน่ายสงคราม' ขึ้นมา เช่นเดียวกับหลายประเทศในยุโรปที่ผ่านสงครามอันโหดร้ายมาเป็นเวลานานตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมันจนถึงสงครามโลกที่ล้วนเกิดขึ้นในยุโรป
ง่ายๆ ครับ การทำงานของ 'ภาพจำ' แบบเบสิคเลยคือการสร้างภาพให้เราเห็นว่าสิ่งๆ หนึ่งที่มีตัวตนอยู่และได้สร้างผลกระทบในทางที่ดีหรือแย่ อธิบายแบบนี้คงจะยังไม่เห็นภาพกัน
มันก็เหมือนกับเวลาคุณดูหนังผีแล้วรู้สึกกลัวผี และเมื่อหนังจบ 'ภาพจำ' ของผีก็ได้ฝังลงไปในหัวคุณ ทำให้คุณรู้จักรูปร่างของผีและจินตนาการไปในสถานการณ์ที่มีบรรยากาศแบบในหนังผี เช่น คุณกลัวที่จะเดินในความมืดคนเดียวเพราะบรรยากาศมันช่างน่ากลัวเหมือนในหนังผี
เพียงแต่คนยุโรปเขาไม่ได้เห็นผี เขาเห็นสงคราม และเขาก็ไม่ชอบสงคราม เขาอยากอยู่ให้ไกลจากสภาวะสงคราม เพราะฉะนั้นเขาจะต้องหลีกเลี่ยงกระแสสงครามให้ได้ในทุกๆ ทาง
และนี่เองก็เป็นเหตุของการเกลียดชังและแอนตี้ความรุนแรงในระดับที่ไม่สามารถให้อภัยได้ แค่การตีเพื่อสั่งสอนลูกก็ผิดกฎหมายเลยด้วยซ้ำ เพราะเขาไม่ได้คิดแค่ว่าคุณละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่คุณกำลังปลูกฝังความรุนแรงลงไปในตัวเด็กด้วยการใช้ความรุนแรงกับเขา ในภายภาคหน้าเขาอาจจะนำวิธีเดียวกันนี้ไปใช้กับคนอื่นต่อ เพราะเห็นว่ามันเป็นเรื่องถูกต้องและอ้างว่า "พ่อแม่ของข้าทำข้าหนักกว่านี้อีก เอ็งโดนแค่นี้ละยังจะทำมาเป็นรับไม่ได้ อ่อนแอจริงๆ เลยนะ" ประมาณนั้น
คนที่นี่จึงไม่ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาอย่างเด็ดขาดทั้งในด้านกฎหมายและด้านจิตสำนึก กล่าวคือ ไม่ใช่แค่เกรงกลัวต่อโทษทัณฑ์ทางกฎหมาย แต่เป็นการมีจิตสำนึกที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับกฎหมายนั่นเอง
ความหนาว ความอดอยาก และความขาดแคลนในทรัพยากรล่ะ มันได้สร้างอะไรให้กับคนฟินแลนด์บ้าง ?
อย่างแรกเลยคือ 'การตระหนักรู้' ว่าเราขาดอะไร และมีอะไร สิ่งที่ชาวฟินน์ขาดคือทรัพยาการทางธรรมชาติด้วยความเป็นป่าสนในเขตหนาวซึ่งนอกจากผลเบอร์รี่กับเห็ดที่อุดมสมบูรณ์ในแถบนั้น ก็แทบจะไม่มีอย่างอื่นเลย เขาตระหนักได้ว่าเขาขาดในส่วนทรัพยากรธรรมชาติ แต่สิ่งที่เขามีคือ "ทรัพยากรมนุษย์" อันเป็นทรัพยากรที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาเลยก็ว่าได้
ด้วยเหตุนี้ฟินแลนด์จึงเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับ "ความเป็นมนุษย์" เป็นอันดับหนึ่ง กล่าวคือเคารพสิทธิพื้นฐานของมนุษย์ตามหลักสิทธิมนุษยชน และมุ่งเน้นพัฒนาระบบการศึกษาที่ให้ความสำคัญกับจิตสำนึกในความเป็นมนุษย์ของตนเองและผู้อื่น กล่าวคือ เคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่นนั่นเอง
และข้อนี้ก็จะเป็นไปไม่ได้เลยหากไม่ได้มาจากระบบการศึกษาที่ดีเป็นตัวกลั่นกรองเยาวชนให้มีคุณภาพเป็นผู้ใหญ่ที่มีความเจริญก้าวหน้า
ด้วยวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของคนที่มีวินัยโดยจิตสำนึก ตรงเวลา รู้หน้าที่ตัวเอง ถึงจะไม่มีใครมาตรวจสอบแต่ก็ทำหน้าที่ได้ครบถ้วน
เหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ผมเห็นความมีจิตสำนึกของคนที่นี่คือ กลางดึกคืนวันเสาร์ที่กรุง Helsinki ผมเห็นวัยรุ่นสองคนเดินกอดคอกันมาด้วยความเมามาย แทบจะเดินไม่ไหวกันแล้วทั้งคู่ (แอบเห็นคนหนึ่งหลับตาเดิน) ในตอนนั้นดึกมากแล้วแทบจะไม่มีรถวิ่งบนถนนเลยด้วยซ้ำ ตัวผมเองก็ข้ามถนนไปอย่างมั่วซั่วเพราะรู้ว่าจะไม่มีรถขับผ่านมานั่นเอง แต่สองคนนั้นกลับหยุดอยู่ที่ทางม้าลายเมื่อสัญญาณไฟสำหรับให้คนข้ามถนนเป็นไฟแดงอยู่ สภาพที่เขายืนหยุดอยู่ตรงนั้นคือแบบแม่งแทบจะยืนไม่ไหวละ จนกระทั่งไฟเขียวเขาจึงเริ่มข้ามถนน
โอ้แม่เจ้า ! คนที่นี่ขนาดเมายังมีจิตสำนึกขนาดนี้ คือถ้าข้ามถนนไปทั้งๆ ที่ไฟแดงอยู่ก็คงไม่มีคนว่าแหละ
อีกสิ่งหนึ่งเลยที่ผมรู้สึกว่าความเป็นฟินแลนด์นั้นแสนพิเศษ คือความ 'ธรรมดา' ของเขานั่นเอง
ด้วยวิวที่เหมือนกันทั้งประเทศ คือป่าสนและทะเลสาบ ทำไมผมยังมองว่ามันมีเสน่ห์
ใช่แล้วครับ ก็แทบทั้งโลกแม่งแทบจะเป็นเมืองไปหมดแล้ว การที่ได้มาเห็นอะไรธรรมดาๆ ในขณะที่ที่อื่นกำลังพยายามพิเศษกันหมด ผมเลยรู้สึกกลับกันไปเลยว่าไอ้พวกที่พยายามจะพิเศษมันคืออะไรที่เห็นทั่วไปจนรู้สึกธรรมดามาก ส่วนที่ที่ธรรมดามากๆ อย่างฟินแลนด์กลับหาได้ยากจนผมรู้สึกได้ว่ามันพิเศษจริง ๆ
จะเห็นได้ว่าที่ฟินแลนด์เป็นได้อย่างที่เราเห็นในทุกวันนี้ก็มีจุดเปราะบางในด้านของพื้นเพในธรรมชาติ แต่ด้วยความที่เขาเข้าใจและจัดการกับปัญหาที่มีอยู่ได้อย่างถูกวิธี ว่าง่าย ๆ คือแทนที่ขัดแย้งกับปัญหากลับเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันโดยตระหนักได้ว่า "โลกนี้ไม่ใช่ของเรา เราเพียงเป็นผู้อยู่อาศัยเท่านั้น" เท่านั้นเอง
และนี้ก็เป็นข้อคิดที่อยากฝากเอาไว้ให้ลองคิดดูว่า ประเทศที่ไม่ได้หนาว แถมร้อนด้วยซ้ำ มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ และไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของใครเลย อย่างประเทศเรากำลังเจอกับปัญหาอะไรอยู่
ชาตินิยม ? เศรษฐกิจ ? ข่าวการฆ่าการข่มขืน ? ดราม่าการเมือง ? การศึกษา ? ระบอบอำนาจนิยม ? การโกงการคอรัปชั่น ? ความเหลื่อมล้ำ ? มันเป็นสิ่งที่ประเทศที่เริ่มจากความไม่มีอะไรเลยอย่างฟินแลนด์ก้าวข้ามไปไกลมากกว่า 10 ปีแล้ว