ฉบับเต็ม ดีเอสไอ แจงกรณีศูนย์ลูกหนี้ฯ ยื่นฟ้องอธิบดี-พวก18คน สั่งยุติไม่สอบคดีฟอกเงิน
“...คณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงของสำนักคดีการเงินการธนาคาร ได้ตรวจสอบข้อมูลตามคำร้องและมีหนังสือประสานงานและส่งเรื่องไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับประเด็นที่ผู้ร้องทุกข์/กล่าวโทษ ดังนี้ (1) กรณีกล่าวโทษเจ้าหน้าที่รัฐ ในความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ส่งเรื่องไปยัง สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่ง ป.ป.ช. มีหนังสือแจ้งผลการดำเนินการให้กรมสอบสวนคดีพิเศษทราบ เมื่อวันที่ 4 ต.ค. 2560 ว่า ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานเพียงพอที่จะดำเนินการไต่สวนต่อไปได้...”
หมายเหตุ สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org : คณะโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ทำหนังสือ ลงวันที่ 23 ส.ค. 2561 ชี้แจงข้อเท็จจริง กรณี น.ส.กัยาณี รุทระกาญจน์ เลขาธิการศูนย์ประสานงานลูกหนี้แห่งชาติ และกลุ่มผู้เสียหาย รวม 12 ราย จัดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเรื่องเตรียมยื่นฟ้องอธิบดีกรมสอบสืบคดีพิเศษและเจ้าหน้าที่ รวม 18 คน ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งจัดที่ห้องประชุมโรงแรมมาดูซิ อโศก
มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
“DSI ชี้แจง การดำเนินการกรณีศูนย์ประสานงานลูกหนี้แห่งชาติร้องขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินคดีอาญา เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย”
ด้วยปรากฏข่าวทางสื่อโซเชียลว่า ในวันที่ 23 ส.ค. 2561 เวลาประมาณ 10:30 น. น.ส.กัยาณี รุทระกาญจน์ เลขาธิการองค์กรสาธารประโยชน์ ศูนย์ประสานงานลูกหนี้แห่งชาติ และกลุ่มผู้เสียหาย จำนวน 12 คน ได้ให้ข่าวต่อสื่อมวลชน ที่ โรงแรมมาดูซิ อโศก กรณีจะยื่นฟ้อง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษและเจ้าหน้าที่ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ โดยระบุสาเหตุแห่งการฟ้องคดี ว่า กลุ่มผู้เสียหายได้ร้องทุกข์กล่าวโทษขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินคดีอาญาตาม พระราชกำหนดบริหารสินทรัพย์ พ.ศ. 2541 จำนวน 6 เรื่อง แต่กรมสอบสวนคดีพิเศษไม่ได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวน กลับการตรวจสอบข้อเท็จจริงแทน เป็นการบิดเบือนการปฏิบัติหน้าที่ตาม พระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 ขัดขวางไม่ให้ผู้ร้องทุกข์เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทางอาญา ตัดตอนไม่ให้มีการดำเนินคดีอาญากับขบวนการฟอกเงิน ก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศอย่างร้ายแรง รวมทั้งกล่าวหาเจ้าหน้าที่ว่า ภายหลังที่รับเรื่องไปแล้วไม่มีการใส่วันที่และเลขที่รับหนังสือ เท่ากับผู้เสียหายไม่ได้รับความคุ้มครองทางกฎหมาย นั้น
เพื่อให้สาธารณชนทราบข้อเท็จจริงและกระบวนการดำเนินการของกรมสอบสวนคดีพิเศษในเรื่องดังกล่าว และป้องกันการบิดเบือนข้อมูล จึงขอชี้แจงข้อเท็จจริงโดยสรุปเป็นลำดับ ดังนี้
1. กรมสอบสวนคดีพิเศษมีอำนาจหน้าที่ในการป้องกัน ปราบปราม สืบสวน และสอบสวนคดีพิเศษตามที่กำหนดไว้ใน พระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 ซึ่งคดีพิเศษมี 2 ประเภทหลัก คือ (1) คดีความผิดทางอาญาตามบัญชีท้าย พระราชบัญญัติการสอบสวนพิเศษ พ.ศ. 2547 และคดีความผิดทางอาญาที่กำหนดเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวงกำหนดคดีพิเศษ ซึ่งคดีดังกล่าวต้องมีลักษณะของการกระทำความผิดความที่กำหนดไว้ในมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) (ก) – (จ) และเฉพาะตามที่คณะกรรมการคดีพิเศษประกาศรายละเอียดของลักษณะของการกระทำความผิดไว้เท่านั้น และ (2) คดีอาญาอื่นนอกจากคดีพิเศษตาม (1) จะเป็นอำนาจของคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ที่จะมีมติให้เรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นคดีพิเศษเฉพาะเรื่อง
2. กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ตรวจเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ น.ส.กลัยาณีฯ และศูนย์ประสานงานลูกหนี้แห่งชาติ ที่อยู่ในความรับผิดชอบ พบว่าช่วง พ.ศ. 2559-2560 น.ส.กัลยาณีฯ ทั้งในฐานะส่วนตัว และในฐานะเลขาธิการศูนย์ประสานงานลูกหนี้แห่งชาติ ได้ยื่นเรื่องต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษขอให้ดำเนินคดีอาญากับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ธนาคารพาณิชย์/สถาบันทางการเงิน บริษัทบริหารสินทรัพย์ และกรรมการที่เกี่ยวข้อง ในความผิดอาญาฐานต่างๆ รวม 7 เรื่อง และมอบเรื่องทั้งหมดให้สำนักคดีการเงินการธนาคาร (ขณะนั้น) ตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อแสวงหาพยานหลักฐานว่าเป็นคดีพิเศษหรือไม่ โดยรับเป็นสำนวนตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ 89/2559 , 90/2559 , 109/2559 , 199/2559 , 226/2559 , 239/2559 , 270/2559 และ 7/2560 รวม 8 สำนวน
3. จากการตรวจสอบของสำนักคดีทางการเงินการธนาคาร พบว่า ที่มาของเรื่องสืบเนื่องจากผู้ร้องกับพวกได้ทำสัญญาขอกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินโดยใช้ทรัพย์สินเป็นหลักประกัน ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2540 ประเทศไทยเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจทำให้สถาบันการเงินต่างๆ มีการขายทรัพย์สินด้อยคุณภาพ (ลูกหนี้ที่มีการผิดนัดชำระหนี้) ให้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์ โดยได้โอนทั้งสินทรัพย์และสิทธิเรียกร้องให้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อนำไปเรียกเก็บและรับชำระหนี้ที่เกิดขึ้นต่อไป ตาม พระราชกำหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ. 2541 ต่อมาผู้ร้องกับพวกถูกบังคับชำระหนี้ซึ่งเห็นว่าไม่เป็นธรรม เป็นเหตุให้ผู้ร้องเห็นว่าตนได้รับความเสียหาย จึงมีการร้องทุกข์/กล่าวโทษ ให้ดำเนินคดีอาญากับสถาบันทางการเงินต่างๆ และกรรมการผู้มีอำนาจในความผิดทางอาญาและความผิดฐานฟอกเงิน รวมถึงได้กล่าวโทษเจ้าหนักงานของรัฐกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ
4. คณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงของสำนักคดีการเงินการธนาคาร ได้ตรวจสอบข้อมูลตามคำร้องและมีหนังสือประสานงานและส่งเรื่องไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับประเด็นที่ผู้ร้องทุกข์/กล่าวโทษ ดังนี้
(1) กรณีกล่าวโทษเจ้าหน้าที่รัฐ ในความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ส่งเรื่องไปยัง สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่ง ป.ป.ช. มีหนังสือแจ้งผลการดำเนินการให้กรมสอบสวนคดีพิเศษทราบ เมื่อวันที่ 4 ต.ค. 2560 ว่า ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานเพียงพอที่จะดำเนินการไต่สวนต่อไปได้ จึงมีมติไม่รับเรื่องไว้ดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง สำหรับในส่วนของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เจ้าพนักงานที่ดิน และเจ้าพนักงานบังคับคดี ป.ป.ช. ได้มีหนังสือวันที่ 9 ต.ค. 2560 แจ้งว่า เรื่องยังอยู่ระหว่างการแสวงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน
(2) กรณีกล่าวหาว่า สถาบันการเงินผู้ถูกกล่าวหา ชำระภาษีอากรไม่ถูกต้องตามประมวลรัษฎากร กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ส่งเรื่องไปยังกรมสรรพากร เพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ซึ่งต่อกกรมสรรพากรมีหนังสือ ลงวันที่ 20 ก.ย. 2560 แจ้งผลการตรวจสอบการชำระภาษีอากร สรุปความได้ว่า สถาบันการเงินต่างๆ (ผู้ถูกกล่าวหา) ได้ดำเนินการไปตามกฎหมายและระเบียบแล้ว และมี พระราชกำหนดยกเว้นและสนับสนุนการปฏิบัติเกี่ยวกับภาษรอากรตามประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2558 บังคับใช้ จึงได้รับสิทธิยกเว้นการตรวจสอบ ไต่สวน ประเมิน หรือสั่งให้เสียภาษีอากรและความผิดทางอาญาตามประมวลรัษฎากร
(3) คณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริง สำนักคดีการเงินการธนาคาร ได้เชิญผู้ร้อง ผู้ถูกร้อง ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งสภาวิชาชีพการบัญชี กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย มาให้ข้อมูลเพื่อประกอบการพิจารณาดำเนินการ โดยจากการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเบื้องต้น พบว่า ยังไม่มีมูลกรณีหรือพยานหลักฐานเพียงพอที่จะกล่าวหาดำเนินคดีอาญากับสถาบันการเงินและบุคคลที่เกี่ยวข้องในความผิดทางอาญาและความผิดฐานฟอกเงินตามที่ผู้กล่าวหาทำการร้องเรียน
ต่อมา น.ส.กลัยาณีฯ ผู้ร้อง ได้มีหนังสือร้องเรียนและขอความเป็นธรรมเพื่อให้ตรวจสอบการดำเนินการในเรื่องดังกล่าว โดยมีการประชุมร่วมกันระหว่างผู้ร้องกับผู้บริหารกระทรวงยุติธรรมและกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึงที่ประชุมมีข้อสรุปร่วมกันว่า เห็นสมควรมอบหมายผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีพิเศษ และได้กำชับและเร่งรัดการดำเนินการโดยเร็ว เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
อนึ่ง กรมสอบสวนคดีพิเศษจะได้มอบหมายให้กองกฎหมายวิเคราะห์คำฟ้องว่าเป็นไปตามข้อเท็จจริงและเป็นเหตุให้กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือผู้ใดผู้หนึ่งเสียหายหรือไม่ และพิจารณาดำเนินการตามสมควรแก่กรณีต่อไป
จึงประชาสัมพันธ์มาเพื่อทราบทั่วกัน
คณะโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ
23 ส.ค. 2561
ทั้งนี้ สำนักข่าวอิศรารายงานว่า วันที่ 23 ส.ค. 2561 เวลา 13:30 น. ผู้เสียหาย 12 ราย นำโดย น.ส.กัลยาณี โดยมี พ.ต.ท.บุญมี จีระเรืองรัตนา เป็นผู้รับมอบอำนาจยื่นฟ้อง เดินทางเข้ายื่นฟ้องอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และเจ้าหน้าที่สอบสวนคดีพิเศษรวม 18 คน ที่ศาลคดีอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางแล้ว (อ่านประกอบ : DSI ยันดำเนินการตามกม.! กรณีศูนย์ลูกหนี้ฯ ยื่นฟ้องอธิบดี-พวก18คน สั่งยุติไม่สอบคดีฟอกเงิน)
อ่านประกอบ :
DSI ยันดำเนินการตามกม.! กรณีศูนย์ลูกหนี้ฯ ยื่นฟ้องอธิบดี-พวก18คน สั่งยุติไม่สอบคดีฟอกเงิน