เจ็บ-อาย-ขายหน้าก็ยอม!‘วิษณุ’ไม่ปล่อยการทุจริตซุกใต้พรม-ผลักดันลงยุทธศาสตร์ชาติ
“...วันนี้การทุจริตจึงถือเป็นวาระแห่งโลก และกลายมาเป็นยุทธศาสตร์ชาติชาติ 20 ปีของเรา ซึ่งเป็นสิ่งบังคับตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้นก็อย่าเพิ่งเยาะเย้ยถากถางว่ารัฐบาลจะอยู่ 20 ปี หรือ รัฐบาลไม่ได้ทำ แต่กำหนดให้หน่วยงานรัฐทำ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เด็กจะเติบโตเป็นวัยผู้ใหญ่ บรรลุนิติภาวะ เรากำหนดไว้ 20 ปี เพื่อให้เห็นเป้าหมายไกลหน่อย หากกำหนด 5 ปีก็สั้น หรือกำหนด 50 ปีก็ไกลเกินไป และในช่วง 20 ปี ใครมาเป็นรัฐบาลก็ตามหากไม่พอใจยุทธศาสตร์ชาติก็แก้ได้ ไม่ได้เขียนสาปแช่งว่าห้ามแก้...”
หมายเหตุ สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org : นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง ‘การผสานพลังสร้างประเทศไทยใสสะอาด’ ในโครงการสัมมนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระดับชาติ หัวข้อ ‘การผลักดันยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต สู่ประเทศไทยใสสะอาด ไทยทั้งชาติต้านทุจริต’ ที่จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแหงชาติ (ป.ป.ช.)
นายวิษณุ ระบุว่า การทุจริตเป็นภัยร้ายแรงของชาติ กระทบต่อความมั่นคงทุกด้าน ทุกประเทศทั่วโลกได้หาแนวทางและมาตรการเพื่อป้องกันการทุจริต จึงมีความร่วมมือในระดับชาติเพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริต เช่นเดียวกับการมีดัชนีชี้วัดความโปร่งใส (CPI) จากองค์กรประเมินความโปร่งใสนานาชาติ เพื่อเป็นตัวชี้วัดทำให้นักลงทุนตัดสินใจได้ง่ายขึ้น โดยขณะนี้ประเทศไทยมีค่า CPI อยู่ที่ 37 คะแนน เราจำเป็นต้องทะยานขึ้นไปให้ได้คะแนนมากกว่านี้
รองนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า รัฐบาลและผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายตั้งเป้าว่าปี 2564 ค่า CPI ของไทยควรจะอยู่ที่ 50 คะแนน สูงกว่านั้นยิ่งดี ซึ่งการจะให้คะแนนสูงขึ้นต้องใช้ความร่วมมือทุกฝ่าย ปราบปรามเชิงรุก และให้คนทั้งชาติมีความรู้สึกต้านทุจริต ตลอดเวลาที่ผ่านมามีตัวเลขทางสถิติบ่งบอกว่าเรามีการพัฒนาในทางที่ดีขึ้น ไม่ได้ย่ำแย่ตกต่ำ แม้จะมีข่าวการทุจริตจำนวนมากแม้จะมองว่าปัญหาการทุจริตรุนแรงขึ้น แต่มองอีกทางหนึ่งก็คือมีการลงมืออย่างจริงจัง
“ถึงจะเจ็บ จะอับอายขายหน้าก็ต้องยอม ดีกว่าให้สิ่งเหล่านี้ซุกอยู่ใต้พรม”
นายวิษณุ ระบุอีกว่า ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ขณะนี้อยู่ในระยะที่ 3 โดยให้ความสำคัญกับวิสัยทัศน์ประเทศไทยใสสะอาด ไทยทั้งชาติต้านทุจริต รัฐบาลขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชน กลุ่มนักวิชาการ กลุ่มประชาสังคม ให้ร่วมมือกันในการที่จะสร้างประเทศไทยให้เกิดความใสสะอาด โปร่งใส มีการทุจริตคอร์รัปชั่นน้อยที่สุดหรือไม่มีเลย
สำหรับการทุจริตคอร์รัปชั่นนั้น นายวิษณุ ยืนยันว่า เป็นภัยที่เกิดจากปัจจัยภายในของเราเอง เหมือนสนิมเหล็ก ถ้าประเทศชาติคือเหล็ก สนิมอันดับแรกอาจจะเป็นการแตกแยกความสามัคคี และสนิมอันดับสองก็คือการทุจริต ซึ่งในที่สุดเหล็กก็จะกร่อนไปประเทศก็จะพังทลาย จึงมีความจำเป็นที่จะกำจัดสนิม ทั่วโลกเห็นถึงปัญหาการทุจริตทั้งหมด ไม่ใช่แค่ประเทศไทย
“วันนี้การทุจริตจึงถือเป็นวาระแห่งโลก และกลายมาเป็นยุทธศาสตร์ชาติชาติ 20 ปีของเรา ซึ่งเป็นสิ่งบังคับตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้นก็อย่าเพิ่งเยาะเย้ยถากถางว่ารัฐบาลจะอยู่ 20 ปี หรือ รัฐบาลไม่ได้ทำ แต่กำหนดให้หน่วยงานรัฐทำ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เด็กจะเติบโตเป็นวัยผู้ใหญ่ บรรลุนิติภาวะ เรากำหนดไว้ 20 ปี เพื่อให้เห็นเป้าหมายไกลหน่อย หากกำหนด 5 ปีก็สั้น หรือกำหนด 50 ปีก็ไกลเกินไป และในช่วง 20 ปี ใครมาเป็นรัฐบาลก็ตามหากไม่พอใจยุทธศาสตร์ชาติก็แก้ได้ ไม่ได้เขียนสาปแช่งว่าห้ามแก้”
นายวิษณุ ระบุว่า วันนี้ยุทธศาสตร์ชาติเขียนเสร็จแล้ว หนาประมาณ 100 หน้า ได้นำขึ้นทูลเกล้าฯแล้ว การไม่ปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ชาติ ไม่ทำตามแผนจะถือว่ามีความผิด โดยจะเริ่มด้วยการตักเตือนในหน่วยงาน และรายงานคณะรัฐมนตรี ให้คณะรัฐมนตรีเตือน หากไม่เตือนจนส่งผลกระทบ ก็จะมีกระบวนการทางศาลมาเกี่ยวข้อง แต่หากเตือนแล้วมีการแก้ไขก็ได้ ส่วนพวกที่ไม่ทำตามแล้วยังลงไปทุจริตเองก็จะต้องลงโทษสถานเดียว
“การจะปลูกจิตสำนึกให้คนไม่ทนต่อการทุจริตได้นั้นเป็นเรื่องยาก โดยจะต้องอดทาน และเราควรมีความเพียรที่มีกลยุทธ์ มีวิธีการที่ชาญฉลาด เหมือนพระมหาชนก เหมือนการช่วยเหลือหมูป่า 13 ชีวิต แต่หากเราท้อแท้ ถดถอย ก็ไม่มีโอกาสสำเร็จ แต่หากเราอดทนงานก็จะสำฤทธิ์ผล เรื่องนี้เป็นความเดือดร้อนของคนทั้งชาติ ดังนั้นจึงอยากให้กำลังใจซึ่งกันและกัน”