ก.ยุติธรรมไม่ขัดข้องขยายสถานพินิจเอกชนเด็ก
ยธ. เผยเตรียมปรับกฎกระทรวงฯ อนุญาตเอกชนเปิดสถานพินิจฯ คาดแล้วเสร็จปลายปี 61 ชี้ออกใบอนุญาตหัวใจหลักต้องดูความพร้อม-จำแนกกลุ่มเสี่ยงซับซ้อนรุนแรง เพื่อนำไปสู่การปรับพฤติกรรม
วันที่ 14 ส.ค. 2561 นายวิศิษฎ์ วิศิษฎ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงข้อเสนอของนายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลธรรมนูญ และนางทิชา ณ นคร ผอ.ศูนย์ฝึกอบรมเด็กฯบ้านกาญนาภิเษกในเวทีสัมมนาเรื่อง”หลากมุมมองต่อปัญหายาเสพติดและค้นล้นคุก ที่จัดขึ้นโดยสำนักกิจการในพระดำริพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กรณีเสนอให้มีการจัดตั้งสถานพินิจคุ้มครองเด็กและเยาวชนเอกชนขึ้นทุกภูมิภาคของประเทศ ในลักษณะเดียวกับศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนบ้านกาญจนาภิเษก โดยมีรูปแบบการบริหารงานแบบเอกชน และขอให้เข้าไปอยู่ในโครงการกำลังใจว่า ไม่ขัดข้อง แต่ต้องให้เจ้าหน้าที่โครงการกำลังใจวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของโครงการว่าสามารถเกิดขึ้นได้หรือไม่
ส่วนประเด็นที่มีการเสนอให้มีการแก้กฎกระทรวงเพื่อจัดตั้งสถานพินิจเอกชนให้เกิดขึ้นอย่างเหมาะสม ขณะนี้กรมพินิจฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าสามารถทำได้มากน้อยเพียงใด เนื่องจากการจัดตั้งสถานพินิจ มี 2 รูปแบบ คือ เอกชนดำเนินการบริหารเองทั้งหมด และเอกชนรับการสนับสนุนทรัพยากรจากรัฐแล้วไปบริหาร ซึ่งการจัดตั้งสถานพินิจแต่ละแห่งต้องใช้งบประมาณจำนวนมากไม่สามารถเกิดขึ้นได้ทันที และในกรณีของเอกชนก็ต้องวางรูปแบบการบริหารให้ชัดเจน เนื่องจากเป็นการใช้งบประมาณของรัฐบาล สำหรับการจัดตั้งสถานพินิจฯทั้ง 2 รูปแบบไม่ว่าจะเป็นของรัฐหรือเอกชน มีวัตถุประสงค์เช่นเดียวคือต้องการทำให้เด็กมีพฤติกรรมดีขึ้น ไม่กลับไปกระทำผิดซ้ำและต้องการคืนคนดีมสู่สังคม ซึ่งได้มีการวิเคราะห์ประสิทธิผลระหว่างสถานพินิจฯของเอกชนหรือรัฐบาลว่า ส่วนไหนมีประสิทธิภาพมากกว่ากัน
ปลัดกระทรวงยุติธรรม ยังกล่าวถึงข้อเสนอให้มีการแก้กฎกระทรวงยุติธรรมเพื่อจัดตั้งสถานพินิจเอกชนในภูมิภาคได้ง่ายขึ้นว่า กฎกระทรวงมีอยู่แล้วโดยกรมพินิจฯเป็นผู้รับผิดชอบ หากมีการบัญญัติใหม่ขึ้นมาก็จะมีคณะกรรมการ ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นประธานในการพิจารณา
ด้านนายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็ก กล่าวว่า ขณะนี้กรมฯ อยู่ระหว่างจัดทำกฎกระทรวงยุติธรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์เงื่อนไขอนุญาตให้เอกชนเปิดสถานพินิจฯ และร่างระเบียบแนวทางปฎิบัติสถานพินิจเอกชนและระเบียบเงินอุดหนุนร่วมกับกระทรวงการคลัง โดยที่ประชุมคณะกรรมการฯ เห็นว่าร่างระเบียบเดิมมีความเข้มงวดเกินไป และเด็กมีหลากหลายกลุ่มและมีความเสี่ยงหลายสภาพ เกรงว่าอาจไม่มีหน่วยงานอื่นเข้ามาร่วม จึงเสนอให้ลดทอนรายละเอียดให้มีความยึดหยุ่นเหมาะสมขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีบทบาท ในการช่วยดูแลเยาวชน ส่วนโครงการกำลังใจสามารถเข้ามาสนับสนุนหรือดำเนินการคู่ขนานกันไป ส่วนงบประมาณที่จะใช้ในสถานพินิจเอกชนขึ้นอยู่จำนวนรายหัวของเด็กและเยาวชนที่จะถูกส่งเข้ามายังสถานพินิจ ปัจจุบันค่าอาหารอยู่ 70 บาท/คน/วัน โดยต้องรวมเงินเดือนของเจ้าหน้าที่และค่าสาธารณูปโภคด้วย
“ขณะนี้กรมฯได้เร่งแก้ไขระเบียบดังกล่าวคาดว่าจะเสร็จภายในปี 2561 เมื่อมีกฎระเบียบออกมารองรับกฎกระทรวงแล้ว อธิบดีกรมพินิจก็สามารถพิจารณาออกใบอนุญาตได้ทันที ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะพิจารณาสถานศึกษาที่มีความพร้อมสามารถดูแลเด็กให้เข้าเรียนได้ตามปกติและรับเด็กไปอยู่ที่โรงเรียนได้ก่อน เพราะปัจจุบันกรมพินิจฯ ได้ร่วมงานกับกระทรวงศึกษาและมูลนิธิฯ หลายแห่ง”อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็ก กล่าว
นายสหการณ์ กล่าวอีกว่า หัวใจของหลักการจัดตั้งสถานพินิจเอกชนต้องจำแนกลักษณะของเด็กได้ด้วย เพราะเด็กแต่ละคนจะมีความเสี่ยงต่างกัน เช่น ซับซ้อนรุนแรง ความเสี่ยงสูง ความเสี่ยงปานกลาง และความเสี่ยงต่ำ ที่สำคัญโปรแกรมพัฒนาพฤตินิสัยที่สถานพินิจเอกชนนั้นๆ กำหนดต้องมีความเหมาะสมกับความเสี่ยงและสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้ ขณะที่การพิจารณาในการออกใบอนุญาตจะต้องดูจากความพร้อมในการรองรับเด็กและเยาวชน ระบบการรับเด็กจะต้องมีความแข็งแรง ระบบรักษาความปลอดภัย โดยเฉพาะสถานที่จะต้องมีความกว้างและแข็งแรงตามการประเมินความเสี่ยงของเด็ก นอกจากนี้ ต้องมีทีมงานดูแลการเรียนการสอน จิตแพทย์ นักสังคมสงเคราะห์ นักวิชาชีพ พยาบาล โดยทีมงานเหล่านี้อาจจะเป็นการจ้างหน่วยงานภายนอกหรือโรงพยาบาลเข้ามาดูแลก็ได้ .
ภาพประกอบ:เว็บไซต์ทีนิวส์