ความสุขเล็กๆ บนดอย
ครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่สองนะครับที่มีโอกาสได้มาร่วมเดินทางกับทางมูลนิธิ พอ.สว. หรือ (มูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จ พระศรีนครินทราบรมราชชนนี) ซึ่งครั้งนี้มีอะไรที่ต่างออกไปกว่าครั้งแรกมากมายเหลือเกิน ทั้งเส้นทางที่ยากลำบากสุดๆ หรือความประทับใจจากการที่ได้คุยกับคนที่ทำงานที่นี่ จวบจนหมอๆทุกท่าน เภสัชกร ทหารพราน อาสาสมัคร และพี่ๆทีมงาน ออฟโร้ดทุกคน ซึ่งทำให้ผมได้อะไรกลับไปมากทั้งความยากลำบากของการทำงานในทุกรูปแบบ และได้มิตรภาพดีๆและรอยยิ้มจากทุกคนกลับบ้านอย่างมีความสุขจนถึงตอนนี้เลยทีเดียว มันเป็นความสุขที่บรรยายออกมายากเหลือเกิน
"ความสุขเล็กๆบนดอย"
เรื่องที่วันนี้จะมาพูดถึงก็คือเรื่องของคนไข้รายหนึ่งซึ่งเป็นคุณยายอายุราวๆ 65 ปี ในวันนั้นเป็นวันที่ 4 ของการเดินซึ่งผ่านอุปสรรคต่างๆมาอย่างโชกโชน ผมก็ได้มีโอกาสไปเยี่ยมคุณยายถึงที่บ้านเนื่องจากคุณยายเคลื่อนที่มาลำบาก ประจวบกับที่ฝนตกมาเกือบตลอดเวลาเราจึงต้องไปเยี่ยมถึงบ้านเค้า โดยมีหมอผึ้ง หรือ หมอ วาสนา ใจน้อย Wasana Jainoi และทหารพรานอีกหนึ่งคน ตามไปด้วยเนื่องจากถ้าเรารักษาคนไข้ช้าอาจจะตามขบวนไปไม่ทันเพื่อกันเราหลงจึงมีทหารพรานตามมาประกบรอปิดท้ายขบวนด้วยหนึ่งคน ซึ่งก่อนที่เราจะไปเยี่ยมคุณยายคนนี้
หมอผึ้งก็เล่าให้ผมฟังครับถึงอาการของคุณยายว่ามีความเป็นมายังไง โดยตอนแรกคุณยายไม่เคยมา รพ. มาก่อนเลย หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ได้ไปพบเคสนี้เมื่อต้นปีประมาณช่วงเดือน มค.ปี 61 ตอนนั้นพบว่าเป็นแผลเรื้อรังที่เต้านมซ้ายมา 1ปีกว่า เริ่มจากเป็นแผลเล็กๆแล้วใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากเจ็บแผลคุณยายจึงไม่ใส่เสื้อนั่นจึงทำให้มีหนอนเข้าไปอยู่ในแผลเป็นจำนวนมากกลายเป็นโพรงใหญ่ขนาดประมาณ 10x10ซม (หายไปทั้งเต้านม) หลังจากมาถึง รพ.อมก๋อย แผลเรื้อรังที่เต้านมทำให้คิดถึงมะเร็ง จึงส่งตัวไปที่ รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ ทางรพ.มหาราชได้ดูแลเพิ่มเติมละตรวจสอบเเน่ชัดแล้วว่าเป็นมะเร็จ และมีแพลนที่จะระกษาด้วยเคมีบำบัด แต่คุณยายก็ปฏิเสธที่จะเข้าการรักษา เพียงแค่นำอุปกรณ์และยาไปทำแผลตามอาการเท่านั้น
เพราะอะไรถึงปฏิเสธล่ะ?!!
เหตุผลนี่ก็ง่ายๆเลยครับเพราะการเดินทางจากหมู่บ้านของคุณยาย คือหมู่บ้าน โอโลคีบน ต้องใช้เวลาอย่างน้อย4ชม. ลงมาที่อำเภออมก๋อย และใช้เวลาอย่างน้อยๆเลย 3ชม.ที่จะเข้าตัวเมืองเชียงใหม่ อย่างน้อยหมอนัดเดือนนึงคงไม่ต่ำกว่า2ครั้งเป็นแน่เผลอๆอาจจะมากกว่านั่นด้วยซ้ำ นี่ยังไม่พูดถึงค่ารักษาพยาบาลที่คงเป็นเงินไม่น้อย และค่ารถอีก แค่นี้ก็พอจะเห็นภาพละใช่ไหมครับว่ามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณยายจะเข้ามารับการรักษาให้หายขาด ทั้งๆที่เห็นอยู่แล้วว่ามันสามารถรักษาได้แต่มันก็ทำอะไรไม่ได้เลย
พอถึงบ้านคุณยาย ก็สอบถามคุณยายต่างๆนาๆครับ ทุกวันคุณยายจะมีลูกสาวคอยทำแผลให้และคุณยายก็จะนอนแต่ในบ้านแทบทั้งวัน มีทั้งอาการปวดหลังและขาบวมต่างๆนาๆ พอแกะแผลออกมาดูก็มีเลือดไหลออกมานองเลยทีเดียวครับ ต้องบอกก่อนเลยว่าจริงๆแล้วผมเป็นคนกลัวเลือดมากแต่เนื่องจากผมมาหาคุณยายผมไม่อยากทำหน้ากลัว หรือ ขยะแขยงแผลของคุณยาย เพราะแค่นี้เค้าก็คงจะรู้สึกแย่มากอยู่แล้ว หมอผึ้งบอกผมว่าที่เห็นตอนนี้เนี่ย อาการดีขึ้นมากแล้วนะเมื่อก่อนแผลหนักกว่านี้เยอะ อาการของคุณยายดีขึ้นกว่าตอนแรกแต่แผลคุณยายก็ลามไปทางรักแร้ด้วย และ อาจจะลามแบบนี้ไปเรื่อยซึ่งก็ทำได้แค่ทำแผลตามอาการเท่านั้น
หมอผึ้งพูดกับผมด้วยความเสียดายมากๆว่า ถ้าเกิดขึ้นกับคนธรรมดาในเมืองทั่วไป การเป็นมะเร็งเต้านมบริเวณผิวหนังนั้นสามารถรักษาให้หายขาดได้ง่ายกว่าเป็นมะเร็งภายในร่างกายมากนัก แต่คุณยายก็ไม่สามารถที่จะได้รับการรักษาเหมือนคนอื่นได้ พอทำแผลเสร็จผมก็ถ่ายภาพหมอผึ้งกับคุณยายและบอกลาคุณยายว่าสู้ๆนะครับคุณยาย และเดินออกมาจากบ้านหลังนั้นด้วยความหดหู่ และมุ่งหน้าลุยฝนเพื่อไปพักผ่อนที่หมู่บ้านโอโลคีล่างกับพี่ๆคนอื่นๆที่ล่วงหน้าไปถึงแล้ว วันนั้นมันทำให้ผมอยากทำอะไรได้มากกว่านี้บ้าง
มันน่าเจ็บใจมากนะครับที่เราเห็นทุกอย่างแต่เรากับทำอะไรไม่ได้ซักอย่างเลย...
ที่มา : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=1931923186845729&id=100000841995980