'สุรา ความฝัน และความรู้สึก' จากการเป็นครูดอย
เรื่องเล่าจาก 'ครูโน๊ต' ครู กศน. (สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย) ที่ประจำอยู่ ณ โรงเรียนกศน.บ้านห้วยยาว หมู่บ้านห้วยยาว ตำบลสบโขง อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่
ก็เป็นรอบที่ 3 แล้วที่ผมได้รับโอกาสมาร่วมเดินทางกับอาสาสมัครหน่วยแพทย์เดินเท้า พอ.สว. ซึ่งปีนี้ก็เป็นปีที่เรียกได้ว่า 'สุด' กว่าทุกครั้งในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นทางสุดโหดที่เดินขึ้นดอยชันหลายกิโลฯ เล่นเอากล้ามเนื้อขาทุกส่วนระบมไปหมด และทางลงสุดลื่นที่สร้างแผลฟกช้ำให้กับทุกๆ คนเป็นของที่ระทึกกลับไปอวดคนทางบ้าน รวมถึงสภาพอากาศที่ฝนตกหนักเบาในทุกๆ วัน
ถ้าจะถามว่าหนึ่งวันฝนตกกี่รอบ ผมอยากให้เปลี่ยนคำถามเป็นว่าหนึ่งวันฝนหยุดตกกี่รอบดีกว่า ฮ่า ฮ่าา!
นี่ยังไม่รวมสัตว์ตัวร้ายอย่างทากที่ดูดเลือดเราอย่างโหดร้ายจนตัวอ้วนอิ่มอร่อยกันไปนับร้อยตัว ทิ้งรอยเลือดที่กว่าจะหยุดไหลได้ก็ต้องรอไปเป็นชั่วโมง ไหนจะแมลง 'คุ่น' อีก กัดซะจนกลายเป็นมนุษย์ลายจุดแล้ว พิษของเจ้าตัวแมลงคุ่นนี่มันจะทำให้โคตรรรรรรคัน ตอนที่นั่งเขียนบทความนี้ก็นั่งเกาอยู่ไม่หยุด
ก็เหมือนจะกลายเป็นธรรมเนียมกันแล้วแหละที่หลังจากที่ทุกคนลงจากดอยมาก็จะมาเขียนบรรยาย 'ความโหด' ที่ได้เจอกับธรรมชาติของจริง และประสบการณ์และข้อคิดที่ได้มาจากการเดินดอย รวมถึงความสุขและความประทับใจในแต่ละครั้งไม่ว่าจะเป็นวิวสวยหลักล้านที่หาดูไม่ได้ในเมือง หรือรอยยิ้มอันบริสุทธิ์จากคนไข้ชาวดอยที่ไม่ว่าจะเห็นกี่ครั้งก็ลืมเหนื่อยไปเสียหมดสิ้น ซึ่งในทุก ๆ ปีก็จะมี 'จุดไคลแม็กซ์' ที่แตกต่างกันไป อย่างปีที่แล้วก็เจ้าเหม่ย์ดีนี่แหละ (https://m.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1449081745128709&id=492313760805517)
เอาจริง ๆ ความรู้สึกของผมก็คงไม่ต่างจากพี่หมอพี่พยาบาลพี่เภสัชทุกคน คงไม่จำเป็นต้องบรรยายในส่วนนั้นแล้วแหล่ะ เพราะถ้าเขียนออกมาก็คงจะไม่ต่างจากคนอื่นนัก
เกริ่นมานานละ เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า!
'ครูโน๊ต' ที่ผมได้แนะนำเอาไว้ในย่อหน้าแรก เป็นความประทับใจหรือ 'จุดไคลแม็กซ์' ของผมในการเดินดอยครั้งนี้
ครูโน๊ตเป็นครูที่ประจำอยู่ ฌ บ้านห้วยยาวมาเป็นเวลา 1 ปี 2 เดือนแล้ว แกเล่าให้ผมฟังว่าก่อนหน้าที่จะมาทำงานเป็นครูกศน. เคยทำงานอยู่แพร่ ชลบุรี เชียงใหม่ รวมถึงในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ ซึ่งตรงนี้เป็นจุดที่ทำให้ผมสนใจและถามครูโน๊ตต่อไปว่าอะไรทำให้แกอยากเปลี่ยนที่ทำงานจากในเมืองมาเป็นครูอยู่บนดอยที่แม้แต่สัญญาณโทรศัพท์ก็ยังไม่มี ทั้งที่ฐานะทางบ้านแกก็ไม่ได้แย่อะไร ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขึ้นมาลำบากอยู่ที่นี่ด้วยเงินเดือนที่น้อยกว่าอาชีพเก่าเสียอีก
ครูโน๊ตเล่าให้ฟังว่า ด้วยความที่แกเป็นคนชอบเที่ยว รักในการผจญภัย และเห็นโฆษณาตามรายการทีวีที่เชิญชวนให้คนขึ้นมาทำงานตรงนี้ ทำให้แกนึกสนุกอยากมา หลังจากที่สมัครเข้ารับราชการก็ได้ถูกส่งมาบรรจุที่หมู่บ้านนี้เป็นที่แรก
และความรู้สึกแรกหลังจากมาถึงโรงเรียนประจำหมู่บ้านก็สั้นๆ ง่ายๆ
"กูจะกลับบ้าน พรุ่งนี้เช้ากูจะไปลาออก"
แต่ก็โชคดีเหลือเกินเมื่อมอเตอร์ไซค์ที่นั่งขึ้นมาบนหมู่บ้านและจะใช้เป็นพาหนะในการพาตัวเองกลับลงไปในเมืองเกิดเสียขึ้นมา แกจึงเอาไปให้ชาวบ้านช่วยกันซ่อมอย่างเร่งด่วนที่สุด เพราะแกก็คิดว่าตัวเองคงจะทนอยู่ในที่ ๆ ลำบากขนาดนี้ได้ไม่นานหรอก
ผ่านไปเดือนหนึ่ง มอเตอร์ไซค์เพิ่งจะซ่อมเสร็จ......
ระหว่างที่รอนั้น....ครูโน๊ตบอกว่าทรมานมาก ทั้งความเหงา ความลำบากที่ต้องเผชิญ แต่เมื่อผ่านมา 1 เดือนก็เริ่มชินขึ้นมาบ้างแล้ว แกจึงตัดสินใจที่จะอยู่ต่อ...
จนถึงตอนที่พบผมนี่ก็ผ่านไปร่วมปีแล้ว
ผมถามแกต่อถึงเรื่องครอบครัว ปรากฏว่าแกมีทั้งเมียทั้งลูกอีก 2 คน คำถามคือ..จะห่างลูกห่างเมียมาทำงานในที่แบบนี้แถมยังได้เงินเดือนต่ำเตี้ยเลี่ยดินแบบนี้จะดูแลครอบครัวยังไง ?!
แกตอบผมมาอย่างห้วน ๆ ด้วยสำเนียงเหน่อแบบคนเมืองน่านว่า
"อ้ออ เพิ่งเลิกกันไปได้ 1 เดือนนี่เองครับ"
!!!!!!!!!!!
เรื่องแบบนี้ผมพอเข้าใจได้ เพราะตัวเองก็เป็นนักเรียนต่างประเทศ ต้องไปใช้ชีวิตอยู่ห่างจากคนรักและครอบครัวเป็นเวลานาน แต่บริบทของเราก็มีข้อแตกต่างกันอยู่
หนึ่ง ผมอยู่ในที่ที่มีสัญญาณโทรศัพท์ ครูโน๊ตไม่มี
สอง ผมอยู่ในที่ที่มีทั้งแสงสี ครูโน๊ตไม่มี
และสาม ผมปิดเทอมปีละรวมกันแล้วปีละประมาณ 3 เดือน ครูโน๊ตมีวันหยุดทั้งหมดแค่เพียง 8 วันต่อเดือน ซึ่งก็คือเสาร์-อาทิตย์ของทุกสัปดาห์นั่นเอง แต่ก็ใช่ว่าจะกลับบ้านได้ เนื่องจากหน้าที่ของครู กศน. ไม่ได้มีแค่เพียงสอนหนังสือเด็ก ๆ เพราะในแต่ละหมู่บ้านบนดอยก็จะมีแต่โรงเรียนนี่แหละครับที่เป็นจุดศูนย์กลางที่รวมทุกอย่างเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ หรือยารักษาโรคพื้นฐานต่าง ๆ ดูทีวี อ่านหนังสือ รวมถึงของบริจาคที่ได้มาจากโครงการจิตอาสาต่าง ๆ คำว่าครูในหมู่บ้านตามดอยจึงไม่ใช่ที่พึ่งทางความรู้เพียงอย่างเดียว แต่เป็นที่พึ่งของคนทั้งหมู่บ้านเลยทีเดียว
ยังมีข้อแตกต่างอีกมากมายที่พอจะยกขึ้นมาได้อีก คำถามตอนนี้คือ ครูโน๊ตแกทนได้อย่างไร?
"สิ่งที่ทำให้มีกำลังใจอยู่บนนี้ต่อไปได้ มีเพียงแค่เหล้า และความฝัน"
คำว่า 'ความฝัน' ของครูโน๊ตในที่นี้ไม่ใช่ความใฝ่ฝันหรือความหวังถึงสิ่งที่อยากทำในอนาคตที่ทุกคนต่างพยายามวิ่งไล่ตาม หากเป็นเพียงความฝันจริง ๆในยามหลับไหลเท่านั้น!
ท่านผู้อ่านทุกคนครับ...ลองคิดดู...คนที่ตั้งหน้าตั้งตารอที่จะเข้านอนและ 'ฝัน' ในทุกค่ำเช้าคืนวันเค้าต้องทนทุกข์กับชีวิตมากมายขนาดไหน คนที่มีสุราเป็นเพื่อน ดื่มทุกคืนก่อนที่จะนอนและรอความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ จากเรื่องราวใน 'ฝัน' มีอยู่จริงนะครับ
ลองคิดดูว่าถ้าอยู่ในเมืองเราจะสนุกสนานกับอะไรได้บ้าง ฮ่า ฮ่าา ถ้ามีแค่มือถือก็สามารถเปิดคลิปดูตามยูทูป หาซีรี่ย์เรื่องใหม่ดูใน Netflix หรือจะไปเที่ยวกินเที่ยวช้อปตามห้างหรูก็ยังได้
บางครั้งที่ผมทำสิ่งเหล่านี้ ผมยังรู้สึกเบื่อเลยอ่ะ แล้วครูโน๊ตล่ะครับ บนดอยนั่นมีอะไรแบบนี้ให้เขาทำบ้างไหม
แกอาจจะมีกิจกรรมอย่างอื่นเช่นไปตกปลาตามลำธาร หรือไปช่วยเหลือชาวบ้านตามคำร้องขอ แต่แค่นี้ก็คงไม่สามารถเยียวยาสิ่งที่เรียกว่า 'ความเหงา' ได้หรอก
ผมถามต่อว่าเป็นครูคนเดียวของหมู่บ้านนี้เลยหรือ ?
แกก็เล่าให้ฟังว่าปกติไม่ว่าจะไปเป็นครูที่หมู่บ้านไหนก็จะต้องมีครูที่จะต้องมาเป็นคู่หูเสมอ
แล้วทำไมครูโน๊ตถึงได้มาอยู่คนเดียวที่โรงเรียนนี้ล่ะ ?
ครูเค้าก็บอกว่ามันเคยมีครูขึ้นมาอยู่ด้วยกัน 3 คนแล้วแหละ แต่ก็ไม่มีใครอยู่ไหวเลย ขึ้นมาได้ไม่เกิน 1 อาทิตย์ก็ลงไปลาออกกันหมด
ไม่มีใคร 'มอเตอร์ไซค์เสีย' เหมือนครูโน้ตบ้างเลย ฮ่า ฮ่าา ตลกร้ายจริง ๆ ชีวิตครูเนี่ย
ครูโน้ตอยู่ที่นี่มีความสุขไหม ?
คำตอบคือ ใช่ มีความสุข แต่ความสุขที่มีมันไม่สามารถนำมาหักล้างความทุกข์และปัญหาชีวิตที่เป็นผลพวงมาจากการเลือกเป็นครูดอยได้หรอก...
แล้วทำไมแกถึงยังเลือกที่จะทำต่อไปล่ะ ไอ้อาชีพครูดอยเนี่ย?
"ถ้าผมไม่ทำ ก็คงไม่มีใครทำหรอกครับ เห็นตัวอย่างได้จากคนที่ลาออกไปน่ะครับ ถ้าที่นี่ไม่มีผม โรงเรียนนี้ก็จะไม่มีครู เด็ก ๆ ที่นี่ก็จะไม่ได้เรียนหนังสือ โตขึ้นมาทำไร่ทำนาเก็บผลผลิตไปขายก็คิดเลขไม่เป็น ไปโดนเขาโกงอีก ถ้ามันจะทุกข์แต่พอจะทำให้ชาวบ้านที่นี่มีชีวิตที่ดีขึ้นบ้าง ครูก็ยอมทุกข์แหล่ะครับ"
ผู้อ่านทุกท่านครับ นี่คือโลกความจริงครับ
การที่ผมเจอครูโน๊ตมันได้ตอกย้ำความคิดที่ว่า ความจริงไม่ได้สวยงามเสมอไป ไม่ใช่อย่างในหนังละครหรือนิยายต่างๆ ว่า
"การทำดีนั้นทำให้ใจเราสุข การเห็นเด็กที่น่ารักทำให้ครูลืมเหนื่อย และมีกำลังใจทำดีต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ตลอดกาลลล บาล บลา บลา...."
BULLSHIT !
ชีวิตจริงมันไม่เป็นแบบนั้นหรอกนะครับ
การทำความดีในหลายครั้งก็ต้องแบกรับความทุกข์บางอย่างเอาไว้เช่นกัน และที่สำคัญกว่านั้น มนุษย์ทุกคนก็คือมนุษย์ การแบกรับเอาความทุกข์มาไว้กับตัวเองมาก ๆ มันทำให้คนเราท้อแท้กันได้ครับ
ลองคิดดูสิครับ ถ้าพวกเราต้องมีชีวิตแบบครูโน๊ต เราจะทนกันได้สักกี่น้ำ?
ด้วยเหตุนี้ผมจึงอยากฝากทุกคนที่อ่านบทความนี้แล้วรู้สึกกับสิ่งที่ผมจะสื่อได้บ้างล่ะก็ ทุกคนคงจะเห็นว่าครูโน้ตเป็นบุคคลากรที่มีหัวใจยอดเยี่ยมขนาดไหน อย่าปล่อยให้แกท้อแท้ครับ เพราะถ้าไม่ใช่คนที่มีหัวใจอย่างแก ไปถึงดอยก็คงไปเล่นชู้กับชาวบ้าน โดดงาน หรือมากสุดก็ติดยาอยูบนดอยนั่นแหละครับ ยิ่งเป็นสถานที่ที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ง่ายจึงไม่มีการเข้าไปตรวจสอบการทำงาน
หากใครอ่านบทความของผมมาถึงตรงนี้แล้ว อยากให้ทุกคนช่วยกันคนละแรงครับ แอ๊ดเพื่อนเข้าไปในเฟสบุ๊คของครูโน๊ต ส่งกำลังใจไปให้แกสักหน่อยครับ อย่าให้คนแบบนี้ต้องท้อแท้หมดกำลังใจไปง่าย ๆ อย่าให้มีเพียงแค่ 'เหล้า และความฝัน' เป็นสิ่งเดียวที่เยียวยาจิตใจแกได้ครับ ทุกคนสามารถช่วยกันได้ ส่งข้อความให้กำลังใจแก ให้รู้ว่าคนข้างล่างนี้ไม่ลืมความเสียสละของอาชีพครูดอยอย่างแก
Facebook ของครูโน็ต : พรรลภ สุพรรณ
ถ้าท่านใดอยากรวมตัวขึ้นไปทำจิตอาสา ไปช่วยเหลือชาวบ้านห้วยยาวหรือหมู่บ้านอื่น ๆ ก็ติดต่อผมมาได้เลยครับ หรือถ้าติดต่อไม่ได้ก็ติดต่อพี่เกรียงได้เลยครับ
Facebook พี่เกรียง : Kriang Tana
ขอบคุณครับ
นอกจากนี้ถ้าใครท้อแท้กับชีวิต รู้สึกว่าชีวิตตัวเองไม่ดี ให้ดูเอาไว้นะครับ มีคนที่แย่กว่าเราอีกมากมาย แย่จนกลายเป็นเรื่องปกติเสียด้วยซ้ำ
ดูครูโน๊ตเป็นตัวอย่างนะครับ อุดมการณ์ต่าง ๆ ถ้าเรามี แต่ไม่ถ่ายทอด เอาแต่คิดอย่างเดียว ไม่ทำอะไรกับมัน ก็อย่ามีเลยครับ เปลืองเปล่าๆ ลงมือทำ หรือถ่ายทอดออกมาไม่ทางใดก็ทางหนึ่งก็ยังดีครับ
สุดท้ายก็ขอเป็นกำลังใจให้ครูโน้ตและครูดอยทุกคนเลยครับ ขอให้เสียสละทำต่อไปนานๆ ผมคนนึงแหละที่จะไม่ลืมความสำคัญของอาชีพนี้เลย
บทความนี้เป็นเพียงแค่การตีแผ่ชีวิตคนคนหนึ่งให้ผู้อ่านได้เห็นเท่านั้น ยังมีคนแบบนี้อีกเป็นจำนวนมาก ผมเพียงแค่อยากจะสื่อสารให้ทุกคนได้รับรู้ว่า โลกใบนี้ยังมีคนที่แบกรับภาระความทุกข์เอาไว้อยู่ข้างหลังเรา โดยที่เราไม่รู้ตัว และลืมที่จะเห็นคุณค่าของพวกเขา ผมเป็นเพียงคนหนึ่งที่ได้เห็นและอยากให้ทุกคนสนับสนุนและเห็นคุณค่าในตัวของพวกเขาเหล่านี้เท่านั้น
ขอบคุณครับ
ที่มา : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=1849629968407267&id=100000808465712