พรรคการเมืองกับความรู้รักสามัคคี
การเมืองไทย แม้สี่ปีมานี้ จะสงบลงได้พอควร แต่ความเป็น “ศัตรู” อยู่กัน “คนละพวก” “คนละฝ่าย” ก็ยังคุกรุ่น ร้อนแรงแต่หลบสายตาอยู่ จะเปรียบไปก็คล้ายถ่านแดง ที่ยังเหลือเนื้อถ่านอีกมากพอ อาจจะลุกขึ้นมาเป็นทะเลเพลิงอีกเมื่อไรก็ได้ เพียงแค่มีคนโหมความร้อนเข้าไป
การเปิดตัวเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน ของพรรครวมพลังประชาชาติไทย (หรือ รปช) ทำให้ฝ่ายสีแดง และ ฝ่าย สีเหลือง-กปปส ที่ไม่เห็นด้วย ออกมาแสดงความเห็นต่อคุณสุเทพ เทือกสุบรรณอย่างรุนแรง ก้าวร้าว และหยาบคายทีเดียว ซึ่งผมเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้น ทำให้ผมยิ่งคิดว่าต้องพูดให้ดังขึ้นอีก ว่า รปช ในฐานะพรรค ตั้งใจและยึดมั่นที่จะไม่ตอบโต้ ไม่ด่าทอ ไม่แก้คืน ท่านที่โกรธเคืองในเรื่องอดีต อดีตนั้นควรมีเพียงเอาไว้เป็นบทเรียน
พรรค รปช ยืนยัน จะไม่ผูกขั้วเป็นศัตรู หรือ เป็นปรปักษ์กับพรรคใดๆ ฝ่ายใดๆ สีใดๆ ไม่ผูกมัดตัวเองก่อนเวลาเกินไปว่าจะรวมกับใคร ไม่รวมกับใคร
ผม กับมิตรสหายผู้ก่อตั้งจำนวนหนึ่งในฐานะคนนอก-กปปส และ นอก -พันธมิตร จะมุ่งเน้นทำการเมืองแห่งความรู้รักสามัคคี คุณสุเทพกับอดีต กปปส จำนวนมาก ก็เดินมาถึงจุดที่พร้อมยื่นมือไปร่วมมือ ปรองดอง กับแทบทุกพรรคฝ่าย ขอเถอะครับ อย่ามองแต่ความขัดแย้งในอดีต เราตั้งพรรคเพื่อวันข้างหน้า เพื่ออนาคต เป็นสำคัญ ทำอย่างไรคนที่เคยเดินขบวนหนักจากคนละจุดยืน จะหันมาทุ่มเทสร้างพรรคใหม่ บ้างก็ปรับเปลี่ยนพรรคเก่า และยื่นดอกกุหลาบแดงไปให้พรรคฝ่ายที่เคยบาดหมาง บ้าง
พรรคการเมืองทั้งหลายจะจมอยู่กับอดีตไม่ได้ จะแตกแยกต่อไป ไม่คิดใหญ่ และอาศัยแต่ไขสันหลัง ใช้แต่สัญชาตญาณเดิม เตรียมตัวฟาดฟันกันรอบใหม่ไม่ได้ เราจะฟื้นกลับไปสู่ พฤษภา 2535 ก็ไม่ได้ สถานการณ์ตอนนี้กับตอนนั้นต่างกันมาก เพียงเห็นทหาร “ครองเมือง” จะคิดง่ายๆว่า เหตุการณ์จะคลี่คลายจนไปสู่การขับไล่ทหาร คงไม่ได้ เพราะความขัดแย้งหลักในสังคมยังเป็นเรื่องสองสี สองขั้ว สองพรรคเหมือนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนแปลง เห็นจากการที่ฝ่ายต่างสีต่างขั้วได้ออกมาซัดกระหน่ำ พรรค รปช ผมเองก็โดนบริภาษ แต่ช่างเถิด ครับ ณ เวลานี้ ขอย้ำว่า ทุกสี ทุกพรรค ทุกฝ่าย ในสองขั้วที่เป็นปรปักษ์กันอยู่นั้น ก็ล้วนบอบช้ำพอๆกันแล้ว และจะทุกข์ทวีขึ้นเรื่อยๆ สายพานที่จะลำเลียงพวกเราไปสู่คุกตาราง และ การลงทัณฑ์อื่นนั้น พาเราไปใกล้ “จุดจบ” เข้าไปทุกที
เราจะต้องหัดคิดเสียใหม่หรือไม่ ว่าอัน การเมืองในความหมายสูงสุดนั้น ก็คือศาสตร์และศิลป์แห่งการสร้างความเป็นไปได้ให้เกิดแก่บ้านเมือง มหาเธร์และอันวาร์ เป็นศัตรูเก่า จากคนละจุด ยังยื่นมือเข้ามาจับกัน จนชนะการเลือกตั้งเอานายกฯ นาจิ๊บออกจากอำนาจได้ หรือ อีกตัวอย่าง คือคิมจองอึน ผู้นำสูงสุดแห่งเกาหลีเหนือ ยื่นไมตรีให้จีนมิตรที่ห่างเหินไปมาก และ อเมริกาศัตรูที่เตรียมห้ำหั่นกันทุกเวลานาที และ ที่สุดเขาข้ามเส้นขนานที่ 38 ไปจับมือกับประธานาธิบดีเกาหลีใต้ อีกฝั่งหนึ่งได้ นี่คือการเมืองสร้างสรรค์ พร้อมเริ่มต้นใหม่ พร้อมจะลืมความขมขื่น ความขัดแย้ง ที่จริง ขนาดลืมสงครามที่แต่ละฝ่ายเหนือ-ใต้เคยตายมาแล้วเป็นล้าน
ทำอย่างไรเราจะคิดใหม่ได้ ลืมภาพอสูรและนรกแห่งอดีต พูดใหม่ได้ พูดถึงสววรค์ ให้สัญญาใหม่ได้ ว่าจะนำประเทศไทยที่เคยแตกแยกกันมาร่วมทศวรรษให้กลับคืนมาสู่สันติภาพได้
ผมเชื่อว่าทุกสี ทุกฝ่าย ทุกพรรค เล็งเห็นการเมืองแบบใหม่ การเมือง เพื่อความสมัครสมาน ได้ นักการเมืองกับพรรคการเมืองของเราจะต้องร่วมกันเป็นผู้นำในการรู้รักสามัคคี ทำให้ประเทศไทยของเราออกจากความมืดมน ความท้อแท้ และความชิงชัง ให้บ้านเมืองเราได้ตรลบอบอวลไปด้วยความหวัง ให้ประชาชนได้เห็นแสงสว่าง ทำให้พระเจ้าอยู่หัวของเราสบายพระทัยว่าในรัชสมัยใหม่ของพระองค์ประเทศไทยต้องสงบสันติ และ ถ้าเราช่วยกันสร้างบรรยากาศแห่งมิตรไมตรี ที่ประชันขันแข่งกันเพียงเพื่อทำความดี เสนออะไรที่ดี แก่บ้านเมือง เมื่อนั้น ผมมั่นใจว่า ทุกสีทุกฝ่าย-พรรค ย่อมจะได้รับพระมหากรุณาธิคุณอันสูงค่าอยู่และเหนือเกล้าเหนือกระหม่อม