19 ปี เคเดอร์ แรงงานจี้รัฐตั้งสถาบันความปลอดภัยฯ ทัน 14 ก.ค.
รำลึกครบรอบ 19 ปี โรงงานตุ๊กตาเคเดอร์ไหม้ เร่งรัฐตั้งสถาบันความปลอดภัยฯ ทัน 14 ก.ค.-ระงับนำเข้าแร่ใยหินเหตุมะเร็ง นักวิชาการชี้ข้อเรียกร้องแรงงานเกิดยาก หากสหภาพอ่อน
วันที่ 10 พ.ค. 55 สภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงานและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย ร่วมกับแผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.) คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเครือข่าย สังคมไทยไร้แร่ใยหิน จัดเสวนา “19 ปี เคเดอร์ แรงงานปลอดภัย ไร้แร่ใยหิน” เนื่องในวันความปลอดภัยแห่งชาติ ณ โรงแรมรัตนโกสินทร์ กรุงเทพฯ
นางสมบุญ ศรีคำดอกแค ประธานสภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงานฯ กล่าวว่า ภายหลังเกิดเหตุโรงงานตุ๊กตาเคเดอร์ จ.นครปฐม ไฟไหม้ตึกถล่มมีผู้เสียชีวิต 188 ศพ บาดเจ็บ 469 ราย เมื่อ 19 ปีก่อน จนถึงปัจจุบันแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลทุกสมัยไม่ให้ความสำคัญเรื่องของสภาพความปลอดภัยทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน เพราะนโยบายส่วนใหญ่มุ่งเร่งรัดพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว โดยขาดระบบป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับแรงงานผู้ปฏิบัติ
ทั้งนี้ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554 ระบุให้กระทรวงแรงงานจัดตั้งสถาบันส่งเสริมความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานภายใน 1 ปี นั่นคือก่อนวันที่ 14 ก.ค. 55
นางสมบุญ กล่าวต่อว่า สิ่งที่กังวลสำหรับการจัดตั้งสถาบันฯ คือ การส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อตีความก่อนเข้าที่ประชุมครม. นั้น ยังขาดข้อเสนอจากภาคประชาชนที่เรียกร้องให้จัดตั้งศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ เพื่อตรวจสอบระบบความปลอดภัยในโรงงานและให้คณะกรรมการสรรหาประธานกรรมการบริหารสถาบันฯ ต้องไม่ใช่ฝ่ายข้าราชการ รวมถึงกรรมการบริหารสถาบันในส่วนผู้ทรงคุณวุฒิและกรรมการฝ่ายนายจ้างและลูกจ้างต้องมาจากการเลือกตั้ง ดังนั้นจะขัดค้านแน่นอน
เมื่อศูนย์ข่าวเพื่อชุมชน สำนักข่าวอิศรา สอบถามถึงแนวทางป้องกันความปลอดภัยในการทำงานของแรงงานปัจจุบัน ประธานสภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงานฯ เปิดเผยว่า ขณะนี้มีการจัดตั้งคลินิกรักษาโรคจากความไม่ปลอดภัยในการทำงานที่โรงพยาบาลนพรัตน์ราชธานี กรุงเทพฯ ผ่านกองทุนเงินทดแทนตามพ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ.2537 แต่แรงงานส่วนใหญ่มักใช้บริการผ่านกองทุนประกันสังคมในโรงพยาบาลทั่วไปซึ่งขาดบุคลากรชำนาญการ ส่งผลให้การรักษาไม่มีประสิทธิภาพ
ดังนั้นหากไทยมีการจัดตั้งสถาบันฯ โดยมีศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ โดยภาครัฐไม่ต้องกังวลจะทำงานซ้ำซ้อน เพราะเราจะเป็นองค์กรที่ส่งเสริมความรู้ความปลอดภัยการทำงานแก่แรงงานและเจ้าหน้าที่ รวมถึงตรวจสอบคุณภาพการปฏิบัติงานทุกโรงงานทั่วประเทศ จากงบประมาณที่มาจากดอกผลของกองทุนเงินทดแทน 20% ราว 200 ล้านบาท/ปี แม้ตอนนี้ความหวังจะริบหรี่ก็ตาม
ด้านรศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวต่อศูนย์ข่าวเพื่อชุมชน สำนักข่าวอิศราว่า ข้อเรียกร้องที่เครือข่ายแรงงานยื่นต่อรัฐบาลล้วนเป็นสิ่งที่ยากเกิดขึ้น เพราะเป็นคนละเสียงกับนายทุน ขณะที่เสียงของนายทุนเป็นหนึ่งเดียวกับรัฐบาล ดังนั้นมีปัจจัยที่จะทำให้สำเร็จ คือ ระบบสหภาพแรงงานต้องเข้มแข็ง ซึ่งเมืองไทยมีคน 11 ล้านคนที่สมัครเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานได้ แต่กลับมีแค่ 3 แสนคนที่เป็นสมาชิก ระบบสหภาพแรงงานในไทยเลยอ่อนแอ
ส่วนกรณีการงดใช้และนำเข้าแร่ใยหินไครโซไทล์ น.ส.บุญยืน ศิริธรรม สหพันธ์องค์กรคุ้มครองผู้บริโภค กล่าวว่า มักพบในอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง เช่น กระเบื้องมุงหลังคา ซึ่งพบว่ามีส่วนผสมของแร่ใยหินถึง 80% ฝ้า และเพดาน โดยปี 54 ไทยนำเข้าแร่ใยหิน 81,411 ตัน มากกว่าปี 53 ที่มีจำนวน 79,250 ตัน ส่งผลให้แรงงานเสี่ยงเกิดโรคปอดอักเสบจากแร่ใยหินที่เป็นสารก่อมะเร็ง โรคมะเร็งปอด และมะเร็งเยื่อหุ้มปอด โดยจะใช้เวลาสะสมนาน 20-30 ปี
ดังนั้นมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 3 ให้งดใช้แร่ใยหิน มีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อ 12 เม.ย. 54 ห้ามนำเข้าแร่ใยหินและผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหินไครโซไทล์ โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมนำไปศึกษา แต่ขณะนี้เวลาผ่านไป 1 ปียังไม่ได้ข้อสรุปจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงเรียกร้องให้เร่งดำเนินการเพราะมีผลกระทบต่อประชาชน มิใช่ใส่ใจแต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อตนเองเท่านั้น
ทั้งนี้เครือข่ายภาคแรงงานเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการ ดังนี้1. ให้เร่งรัดจัดตั้งสถาบันส่งเสริมความปลอดภัยฯ ที่มีศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์และมีกรรมการที่มาจากการสรรหาตามข้อเสนอของเครือข่ายแรงงาน 2. เร่งชดเชยสิทธิตามกฎหมายให้กับผู้ประสบอันตรายจากการทำงานรวมถึงอันตรายที่มาจากแร่ใยหิน 3. ยกเลิกการนำเข้าใยหินและยกเลิกการผลิตสินค้าที่มีใยหินตามมติครม.ทันที และ4. เรียกร้องให้ปฏิบัติตามมติสมัชชาสุขภาพครั้งที่ 4 ว่าด้วยเรื่องเข้าถึงบริการชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานของคนทำงานในภาคอุตสาหกรรมและบริการ.