รอง ศธ.ปัตตานีโต้ข่าวกดดันเด็กมุสลิมปมฮิญาบ ผู้ปกครองแห่ร้องบาบอแม
ปัญหาที่สืบเนื่องจากการอนุญาตให้นักเรียนมุสลิมกลุ่มหนึ่งของโรงเรียนอนุบาลปัตตานีแต่งกายตามหลักศาสนาอิสลามได้ ยังคงบานปลายต่อไป และยังไม่มีทีท่าว่ากระแสคุกรุ่นจนเป็นความเห็นที่แตกต่างของผู้คนต่างศาสนาจากเรื่องนี้จะยุติลงได้
เมื่อกลางสัปดาห์สุดท้ายของเดือน พ.ค.61 ซึ่งเป็นสัปดาห์ที่ 3 แล้วที่นักเรียนมุสลิมกลุ่มหนึ่งของโรงเรียนอนุบาลปัตตานีแต่งกายตามหลักอิสลาม ได้มีการเผยแพร่ข้อมูลทางสื่อสังคมออนไลน์ อ้างว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่รับผิดชอบงานด้านการศึกษาของ จ.ปัตตานี เดินทางไปตรวจเยี่ยมโรงเรียน และมีพฤติกรรมกดดันนักเรียนมุสลิมซึ่งเป็นเพียงนักเรียนชั้นประถม ทั้งเรียกไปคุย และพูดจาด้วยถ้อยคำไม่เหมาะสม จนทำให้เด็กๆ รู้สึกเสียใจ
รองศึกษาฯจังหวัดโต้ข่าวกดดันเด็ก
เมื่อข่าวดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ทำให้ ดร.ชูสิน วรเดช รองศึกษาธิการจังหวัดปัตตานี ซึ่งไปตรวจเยี่ยมโรงเรียนอนุบาลปัตตานี เมื่อวันพุธที่ 30 พ.ค.61 ออกมาปฏิเสธข่าว และยืนยันว่าไม่เคยมีพฤติกรรมพูดจากดดันเด็กนักเรียน
"ผมอยู่ในฐานะที่เป็นคนกลางในการเจรจาแก้ไขปัญหานี้ เพราะต้องรักษาราชการแทนศึกษาธิการจังหวัด ทำให้รับทราบปัญหามาตลอดตั้งแต่ต้น ประกอบกับผมเป็นตัวแทนของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งมีหน้าที่ดูแลโรงเรียนอนุบาลปัตตานีด้วย จึงจำเป็นต้องลงพื้นที่เพื่อรับทราบสถานการณ์" ดร.ชูสิน อธิบายถึงสาเหตุที่เดินทางไปตรวจเยี่ยมโรงเรียนอนุบาลปัตตานี และยอมรับว่าเดินทางไปเมื่อวันที่ 30 พ.ค.จริงตามที่มีการอ้างถึงในสื่อสังคมออนไลน์ แต่ไม่ได้ไปพูดจากดดันนักเรียนมุสลิมตามที่มีการกล่าวอ้าง
"ผมได้ไปเยี่ยมพบปะคุณครูและนักเรียนเพื่อสอบถามนักเรียนว่ามีดัชนีความสุขเป็นอย่างไรบ้าง ด้วยความเป็นห่วงว่าครูและนักเรียนจะเครียดกับเหตุการณ์ ซึ่งจากการสอบถามเด็กนักเรียนก็บอกว่ามีความสุข ไม่มีใครมากดดัน และยังได้มีการประชุมครูเพื่อสร้างขวัญกำลังใจ และมอบแนวทางการทำงาน ความร่วมแรงร่วมใจกัน ทั้งผู้บริหารและคณะครู"
"ส่วนที่มีการออกข่าวทางสื่อว่าผมไปห้ามไม่ให้เด็กสวมฮิญาบ ถือเป็นการขัดคำสั่งรัฐมนตรีนั้น ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริงเลย ผมไม่ได้พูดห้ามหรือมีเจตนาอย่างนั้นเพราะผมเข้าใจในวิถีพี่น้องมุสลิมเป็นอย่างดี และที่สำคัญผมเน้นเรื่องคุณภาพการศึกษาของเด็ก ของครู และความร่วมมือของผู้ปกครองมาก"
เดินหน้าออกแบบเครื่องแต่งกายให้เหมือนกัน
ดร.ชูสิน บอกด้วยว่า ขณะนี้มีนักเรียนมุสลิมแต่งกายตามหลักศาสนา คือสวมฮิญาบและกางเกงขายาวประมาณ 15 คน แต่มีรูปแบบที่แตกต่างกัน จึงจำเป็นต้องมีการกำหนดเครื่องแบบที่เหมือนกันเป็นการเฉพาะ และเป็นอัตลักษณ์ของโรงเรียนอนุบาลปัตตานี โดยเฉพาะคนที่จะแต่งกายแบบใหม่ จะได้ไม่ต้องให้ผู้ปกครองเดือดร้อน
"การจะเปลี่ยนแปลงอะไร เราต้องให้เวลาทุกฝ่ายได้บริหารความรู้สึก ผมซึ่งเป็นคนกลางก็ลำบากใจ และต้องรับฟังทั้งสองฝ่าย ขณะนี้กำลังประสานผู้เกี่ยวข้องเพื่อจัดตั้งคณะทำงานร่วมจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด ในเรื่องการกำหนดฟอร์ม (เครื่องแบบ) การแต่งกายของนักเรียน รวมทั้งวันเวลาที่จะต้องมีการแต่งกายชุดอะไร ดังนั้นขอให้ทุกๆ ฝ่ายได้เข้าใจถึงวิธีการทำงาน เราต้องเคารพในกฏระเบียบจารีตประเพณีของบ้าน ของโรงเรียน ของชุมชน และของประเทศชาติ ทุกปัญหาย่อมมีทางออก ขอฝากไปยังสื่อต่างๆ ขอให้สร้างสรรค์ในการนำเสนอข่าวด้วย ขอฝากไปถึงทุกๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ในช่วงเดือนรอมฎอณอันประเสริฐของพี่น้องชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลาม ขอร้องอย่าเอาเรื่องของศาสนาหรือเอาเด็กนักเรียนมาเป็นเครื่องมือในการทำร้ายซึ่งกันและกัน ขอพรพระเจ้าดลบันดาลให้ทุกคนที่คิดดีทำดีเจตนาดีต่อชาติบ้านเมืองประสบแต่ความสุขความเจริญ" ดร.ชูสิน กล่าว
ย้อนปมปัญหาฮิญาบอนุบาลปัตตานี
อนึ่ง การแต่งกายตามหลักศาสนาอิสลามของนักเรียนมุสลิมกลุ่มนี้ ได้รับอนุญาตจากวงประชุมของผู้บริหารระดับสูงกระทรวงศึกษาฯ กับศึกษาธิการจังหวัด และผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลปัตตานี หลังมีปัญหาตั้งแต่เปิดภาคเรียนเมื่อวันที่ 16 พ.ค. เพราะมีเด็กนักเรียนมุสลิมกลุ่มหนึ่งแต่งกายตามหลักศาสนามาเรียนหนังสือ ทำให้ครูหยุดสอน กระทั่งต้องมีการเรียกประชุมคณะกรรมการสถานศึกษา ปรากฏว่าคณะกรรมการฯมีมติให้นักเรียนทุกคนแต่งกายตามระเบียบของโรงเรียนอย่างเคร่งครัด นั่นก็คือไม่อนุญาตให้นักเรียนมุสลิมแต่งกายตามหลักศาสนาได้ จนเกิดเป็นประเด็นขัดแย้งทางความคิด และเป็นหัวข้อวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ทำให้ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช.ศึกษาธิการ ในฐานะหัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่งผู้บริหารกระทรวงศึกษาฯ และเลขาธิการคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ลงพื้นที่เป็นการด่วน เพื่อยุติความขัดแย้งไม่ให้บานปลาย กระทั่งมีการอนุญาตให้เด็กนักเรียนมุสลิมแต่งกายตามหลักศาสนาได้ โดยนักเรียนหญิงให้สวมฮิญาบ แต่ต้องเป็นสีขาวหรือสีน้ำเงินซึ่งเป็นสีเดียวกับสีกระโปรงนักเรียน ขณะที่นักเรียนชายก็ให้สวมกางเกงขายาวได้ แต่ต้องเป็นสีน้ำเงิน สีเดียวกับกางเกงนักเรียนเช่นกัน
ปัญหาทำท่าจะจบลงด้วยดี แต่ปรากฏว่าพระ ชาวไทยพุทธ และผู้ปกครองนักเรียนที่นับถือศาสนาพุทธแสดงความไม่พอใจ เนื่องจากเห็นว่าโรงเรียนอนุบาลปัตตานีตั้งอยู่ใน "ที่ธรณีสงฆ์" เพราะยืมที่ดินมาจากวัดนพวงศาราม อ.เมืองปัตตานี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2510 โดยในหนังสือสัญญายืมใช้พื้นที่ มีการระบุเงื่อนไขไว้ชัดเจนให้พระและวัดมีอำนาจสอดส่องดูแลความเป็นไปต่างๆ ในโรงเรียน รวมทั้งกฎระเบียบของโรงเรียนเรื่องการแต่งกายที่ให้แต่งเครื่องแบบเหมือนกันหมด โดยไม่แยกศาสนา ซึ่งแนวทางนี้ใช้มาตลอดจนเป็นประเพณีปฏิบัตินานถึง 50 ปี แต่ผู้บริหารกระทรวงศึกษาฯ กลับใช้อำนาจสั่งอนุญาตให้นักเรียนมุสลิมแต่งกายตามหลักศาสนาได้ โดยอ้างระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยเครื่องแบบนักเรียน พ.ศ.2551 โดยไม่ขอความเห็นชอบจากพระและทางวัดนพวงศารามก่อน ทั้งยังไม่ได้ปรึกษาหารือกับผู้ปกครองกลุ่มอื่น รวมทั้งคนไทยพุทธในพื้นที่ด้วย
การเคลื่อนไหวของพระและชาวไทยพุทธถูกวิจารณ์จากบางฝ่าย ถึงขั้นมีการขู่ใช้ความรุนแรงในสื่อสังคมออนไลน์ ทำให้พระที่ออกมาเคลื่อนไหวต้องเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ปัญหาก็ดูจะยังไม่คลี่คลาย กระทั่งมีการปล่อยข่าวเรื่องที่รองศึกษาธิการจังหวัดปัตตานีไปพูดจากดดันเด็กนักเรียนขึ้นมาอีก
ผู้ปกครอง-นักเรียนแห่ร้อง"บาบอแม"
แม้รองศึกษาธิการจังหวัดฯจะออกมาปฏิเสธข่าวการพูดกดดันเด็กนักเรียนมุสลิมไปแล้ว แต่ปัญหาล่าสุดนี้ก็ยังไม่จบ โดยเมื่อวันศุกร์ที่ 1 มิ.ย.61 ผู้ปกครองและเด็กนักเรียนโรงเรียนอนุบาลปัตตานี จำนวนกว่า 50 คน ได้พากันไปเข้าพบ นายแวดือราแม มะมิงจิ ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี ที่บ้านใน ต.รูสะมิแล อ.เมืองปัตตานี เพื่อยื่นหนังสือร้องเรียนกรณีเด็กนักเรียนโรงเรียนอนุบาลปัตตานีถูกกดดันจากผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการแต่งกายตามหลักศาสนาอิสลาม ซึ่งเป็นไปตามระเบียบกระทรวงศึกษาฯ ว่าด้วยเครื่องแบบนักเรียน พ.ศ.2551
สำหรับนายแวดือราแม หรือ "บาบอแม" เคยเป็นกรรมการสถานศึกษาของโรงเรียนอนุบาลปัตตานีด้วย แต่เจ้าตัวขอลาออกภายหลังจากที่คณะกรรมการสถานศึกษาประชุมกัน และมีมติเสียงข้างมากไม่เห็นด้วยกับการที่นักเรียนมุสลิมจะแต่งกายตามหลักศาสนา
นายแวดือราแม กล่าวภายหลังได้พบปะพูดคุยกับผู้ปกครองและนักเรียนว่า เดิมเข้าใจว่าเรื่องนี้จบไปแล้ว แต่เมื่อผู้ปกครองมาหาและยื่นข้อเรียกร้อง ตนก็ต้องรับไว้ก่อน หลังจากนี้ก็จะตรวจสอบข้อเท็จจริงและเสนอข้อมูลไปยังผู้ใหญ่ที่มีอำนาจต่อไป
การเข้าพบประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี ทางกลุ่มผู้ปกครองและเด็กนักเรียนมุสลิมได้ยืนยันข้อมูลการถูกดดันจากรองศึกษาธิการจังหวัด และเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด ซึ่งสวนทางกับคำยืนยันของ ดร.ชูสิน
นายแวดือราแม กล่าวว่า เมื่อได้รับฟังนักเรียนและผู้ปกครองเล่าปัญหา ทำให้รู้สึกกังวล และจะขอนำเรื่องทั้งหมดไปตรวจสอบก่อน จากนั้นจึงจะหารือกับผู้มีอำนาจเพื่อหาทางแก้ไขต่อไป
"บาบอไม่อยากให้สังคมบ้านเราเกิดความแตกแยก อยากให้มีความเมตตาสามัคคีซึ่งกันและกัน ในสังคมพหุวัฒนธรรมจะต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน นี่คือความตั้งใจของรัฐและของบาบอเอง อยากให้สังคมเกิดความสงบสุข เมื่อมีปัญหาก็ต้องแก้ และหาทางออกให้ได้ อย่าให้เรื่องเล็กๆ กลายเป็นเรื่องใหญ่"
ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี บอกด้วยว่า การแต่งกายตามหลักศาสนาอิสลาม มีหลักเกณฑ์ หลักการ และเป็นวิถีชีวิต การใช้ชีวิตที่ถูกหลักศาสนาไม่ใช่แค่การละหมาดวันละ 5 เวลาเท่านั้น
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ :
1 สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดปัตตานี
2 นักเรียนมุสลิมและผู้ปกครองเข้าพบประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี
อ่านประกอบ :
เหตุเกิดที่อนุบาลปัตตานี นักเรียนที่นี่ห้ามสวมฮิญาบ?
ปมฮิญาบบานปลาย! "บาบอแม" ลาออกพ้น กก.สถานศึกษาอนุบาลปัตตานี
พหุวัฒนธรรมมีจริงไหม? "อังคณา"จี้ทุกฝ่ายหันหน้าพูดคุยแก้ปม"ฮิญาบ"
ต้องจบก่อนวันจันทร์! ผู้แทนพิเศษฯสั่งเลขาฯสพฐ.แก้ปมฮิญาบ
ศธ.ไฟเขียวนักเรียนมุสลิมอนุบาลปัตตานีแต่งกายตามหลักศาสนา
"เป็นระเบียบ-เท่าเทียม" เหตุผลคนค้านอนุบาลปัตตานีเปลี่ยนเครื่องแบบ นร.มุสลิม
"พระ-ชาวบ้าน"ขีดเส้นศุกร์นี้ นร.อนุบาลปัตตานีต้องแต่งเครื่องแบบตามกฎโรงเรียน
เปิดเอกสาร "เจ้าคณะปัตตานี" ชี้แจงปมฮิญาบโรงเรียนอนุบาลฯ
ปมฮิญาบ "อนุบาลปัตตานี" ยังไม่จบ แม้ผู้ว่าฯนำถกหาทางออก
ตร.เร่งหาตัวเจ้าของเพจขู่ทำร้ายพระ - พบมุสลิมก็ร่วมบริจาคที่ดินอนุบาลปัตตานี
เปิดชัดๆ ระเบียบ ศธ.หลังสมาคมผู้ปกครองฯอนุบาลปัตตานีชงแก้-ปิดช่องสวมฮิญาบ