ผอ.อนุรักษ์สัตว์ป่า โวยแจ้งเหตุลักลอบตัดไม้20จุด แต่โดนสั่งย้าย-อธิบดียันเจ้าตัวถูกร้องเรียน
'ผอ. อนุรักษ์สัตว์ป่า' โพสต์เฟซบุ๊ก โวยถูกสั่งย้ายตำแหน่งไม่เป็นธรรม หลังทำรายงานแจ้งเหตุลักลอบตัดไม้ทำลายป่าในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ายอดโดม อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี กว่า 20 จุด ขณะที่ผอ.ส่วนอื่นๆ ถูกสอบวินัยร้ายแรง ชี้มูลความผิดให้คืนเงินหลวง กลับอยู่ดีมีสุขกินอิ่มนอนหลับสบาย ไม่ถูกดำเนินการอะไร ด้านอธิบดีกรมอุทยาน แจงเหตุมีลูกน้องร้องเรียนการทำงาน จึงต้องย้ายออกก่อนเพื่อความเหมาะสม ส่วนผอ.คนอื่น ยังอยู่ระหว่างสอบสวน ถือเป็นผู้บริสุทธิ์จะไปลงโทษไม่ได้
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่าเมื่อวันที่ 24 พ.ค.ที่ผ่านมา นายปรีชา สิงคเสลิต ผู้อำนวยการส่วนอนุรักษ์สัตว์ป่า บอ.9 (อบ) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรม จากการที่ตนได้เผยแพร่ภาพป่าไม้ถูกทำลาย มีการลักลอบตัดอย่างโจ่งแจ้ง และเมื่อแจ้งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาตรวจสอบจัดการ กลับถูกขู่ว่าจะโดนสั่งย้าย แต่ ผอ.ส่วนอื่นๆ ใน สบอ.9 (อบ) ทั้งที่ถูกสอบวินัยร้ายแรง ถูกชี้มูลความผิดให้คืนเงินหลวง กลับอยู่ดีมีสุขกินอิ่มนอนหลับสบาย จึงทำให้ตนรู้สึกท้อใจหมดแรงเป็นอย่างมาก
สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า ได้ติดต่อไปยังนายปรีชา เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงกรณีปัญหาที่เกิดขึ้น นายปรีชา ให้สัมภาษณ์ว่า ตนและคณะทำงานได้บินตรวจสภาพป่าไม้ในเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าใน 6 จังหวัด ตาม พ.ร.บ.สงวนคุ้มครองสัตว์ป่า 2536 ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีโทษรุนแรงมาก ห้ามเข้าไปทำอะไรในพื้นที่โดยเด็ดขาด ก่อนจะไปพบว่า มีการตัดไม้ในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ายอดโดม อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เป็นจำนวนมากกว่า 20 จุด เบื้องต้นคณะทำงานจึงได้มีมติว่าจะรายงานเรื่องนี้ให้กับผู้บังคับบัญชาทราบ เพราะสลดใจมากว่ามีการเข้าไปกระทำการลักษณะดังกล่าวในพื้นที่ดังกล่าวได้อย่างไร
"เบื้องต้น ผมและคณะทำงานได้รายงานเรื่องไปยังนายทองใบ บุญญาเสนีย์กุล ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 และรายงานสำเนาไปให้กับนายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ให้ทราบเรื่อง และได้ให้หัวหน้าเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าเข้าดำเนินคดีโดยเร็ว โดยเริ่มต้นทำเป็นคดีมาก่อน 5 จุด จาก 20 จุด ที่ตรวจสอบพบ เพราะซึ่งถ้าหากดำเนินคดีรวดเดียว 20 จุด จะกลายเป็นคดีใหญ่ระดับประเทศ จึงได้มีการทยอยดำเนินคดี และผมเชื่อว่าถ้าหากบินขึ้นไปสำรวจพื้นที่อีกรอบ ก็น่าจะพบพื้นที่ที่มีปัญหาประมาณ 30-50 จุดได้"
นายปรีชา กล่าวต่อว่าอย่างไรก็ดี ภายหลังจากที่รายงานเรื่องการลักลอบตัดไม้ทำลายป่าไปแล้ว ข้อมูลกลับไม่ได้รับการตอบสนองจากหลายๆส่วน และล่าสุด ก็มีคำสั่งออกมาเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2561 ให้ย้ายตนจากตำแหน่ง ผอ.บอ.9 ไปเป็นตำแหน่งเจ้าพนักงานอาวุโสประจำกรมอุทยาน
"หลังจากรับทราบคำสั่งผมได้สอบถามข้อมูลกับคนใกล้ชิดอธิบดีกรมอุทยาน ว่าเป็นเพราะอะไร ได้รับคำตอบว่า มีคนมาร้องเรียน ส่วนร้องเรียนเรื่องประเด็นอะไรนั้น ยังไม่ทราบข้อมูลแน่ชัด แต่เรื่องนี้ก็ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจ เพราะตามขั้นตอนนั้นจะต้องมีการสอบสวนข้อเท็จจริงกันก่อน จากนั้นจึงตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรง จึงรู้สึกว่ามันมีความไม่ชอบมาพากลอยู่ และที่น่าสงสัยคือ มี ผู้อำนวยการส่วนฟื้นฟู ผู้อำนวยการส่วนอุทยาน และผู้อำนวยการในส่วนอำนวยการ ซึ่งอยู่ภายใน สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 และถูกสอบวินัยร้ายแรง ในกรณีที่เกี่ยวข้องกับไม้พยูง แต่ทั้งหมดก็ยังอยู่ในตำแหน่งเดิม ไม่ได้ถูกโยกย้ายอะไรเลย" นายปรีชากล่าว
และว่า ดังนั้น เหตุผลที่เองว่าตนถูกคนมาร้องเรียนเลยถูกสั่งย้ายแล้ว ไม่น่าจะเป็นเรื่องจริง แต่เหตุผลของการออกคำสั่งย้ายที่แท้จริงน่าจะมาจากกรณีที่ตนไปร้องเรียนเรื่องการลักลอบตัดไม้มากกว่า ซึ่งในสัปดาห์นี้ ตนจะเข้าไปหารือกับนายธัญญาเพื่อหารือในประเด็นนี้ต่อไป
ด้านนายธัญญา ให้สัมภาษณ์ยืนยันสำนักข่าวอิศราว่า เหตุผลที่โยกย้ายนายปรีชา เป็นเพราะนายปรีชามีปัญหาถูกลูกน้องร้องเรียนเรื่องการทำงาน ต้องการให้เกิดความเหมาะสม ไม่ต้องการให้เรื่องบานปลาย และยังเป็นการป้องกันเจ้าหน้าที่ที่ถูกร้องเรียนด้วย
"หากให้เขาอยู่ในตำแหน่งเดิมต่อไปและมีเรื่องร้องเรียนเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆเกี่ยวกับตัวบุคคลนั้น ก็อาจจะทำให้การสอบข้อเท็จจริงจะกระทำได้ยากขึ้นและทำให้เรื่องบานปลายมากขึ้นไปอีก ทั้งนี้ขอยืนยันว่าผมไม่ได้ขัดแย้งกับนายปรีชาแต่อย่างใด คิดว่าถ้าได้พูดคุยกับนายปรีชาก็คงจะมีความเข้าใจ และนายปรีชาก็คงจะเข้าใจว่าที่บอกว่าย้ายเพื่อความเหมาะสมนั้นคืออะไร"
ส่วนกรณีที่นายปรีชาอ้างว่ามี ผอ.ส่วนอื่นในสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 ที่เกี่ยวข้องกับการค้าไม้ และยังไม่ถูกย้ายนั้นเป็น นายธัญญา ชี้แจงว่า "เรื่องบางเรื่องยังสอบไม่จบเนื่องจากเป็นเรื่องที่สืบเนื่องมาจาก ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 คนก่อนและโยงใยไปถึงข้าราชการจำนวน 40 ว่าคน จึงทำให้ผลสอบวินัยยังไม่ออก ก็ถือว่าผู้ถูกกรรมการสอบยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ จะไปลงโทษเขาก็ไม่ได้ แต่ถ้าหากพบว่ามีความผิดจริงก็จะมีการลงโทษทางวินัย ซึ่งทางกรมอุทยานก็จะต้องเร่งรัดการสอบสวนต่อไป แต่ขอย้ำว่าในยุคผมนั้นใครผิดก็ว่าไปตามผิด ไม่มีการปกป้องคนผิดอย่างแน่นอน"