เมื่อ "หมาป่าคอกเดียว" ออกล่าเหยื่อ: ความน่าสะพรึงของก่อการร้ายที่อินโดนีเซีย!
ศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคงชื่อดังจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถอดบทเรียนเหตุระเบิดพลีชีพในเมืองสุราบายา ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีลักษณะเฉพาะและแตกต่างจากการก่อการร้ายที่เกิดขึ้นในยุโรป ทั้งนี้เพื่อย้ำเตือนให้หน่วยงานความมั่นคงไทยเร่งศึกษาและทบทวนมาตรการรับมือปฏิบัติการโจมตีที่เหนือความคาดหมาย
การก่อการร้ายที่เพิ่งเกิดในเมืองสุราบายา ประเทศอินโดนีเชียเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เป็นสัญญาณเตือนภัยอย่างดีว่า แม้กระแสการก่อการร้ายของกลุ่มรัฐอิสลาม (The Islamic State หรือกลุ่ม IS ต่อไปในบทความนี้จะขอเรียกว่า กลุ่มไอเอส) มีแนวโน้มที่จะลดระดับลงในเวทีโลก โดยเฉพาะหลังจากเสียฐานที่มั่นหลักทั้งในอิรักและซีเรีย จนดูราวกับว่าสงครามก่อการร้ายที่ดำเนินการโดยกลุ่มไอเอสกำลังจะยุติลงทั้งหมด แต่แล้วการก่อการร้ายก็เกิดขึ้น แม้ครั้งนี้จะเกิดในอินโดนีเซีย ไม่ใช่ในยุโรปก็ตาม
จุดเริ่มต้น
แน่นอนว่าการก่อการร้ายไม่ใช่เรื่องใหม่ในอินโดนีเซีย แต่ข้อถกเถียงสำคัญในช่วงที่ผ่านมาก็คือ การแตกพ่ายของกลุ่มไอเอสจากอิรักและซีเรีย จะทำให้ฐานที่มั่นของกลุ่มดังกล่าวขยับจากตะวันออกกลางมาสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้เราได้เห็นปฎิบัติการที่ "มาลาวี" ในฟิลิปปินส์ และเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า การบุกยึดเมืองมาลาวีเป็นการดำเนินการที่มีความเชื่อมต่อกับกลุ่มไอเอส และปรากฎการณ์เหล่านี้กำลังเป็นสิ่งบอกเหตุที่มีกลุ่มไอเอสเป็นตัวแสดงที่สำคัญ และคงต้องยอมรับความเป็นจริงว่า กลุ่มนี้ได้ขยายอิทธิพลเข้ามาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว
ประจักษ์พยานสำคัญที่ชัดเจนก็คือ การที่กลุ่มนี้ได้ประกาศความรับผิดชอบต่อการโจมตีที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในภูมิภาคในปี 2016 ด้วยปฏิบัติการโจมตีจุดตรวจของตำรวจและศูนย์การค้าในนครจาการ์ตา สงครามก่อการร้ายของกลุ่มไอเอสได้เริ่มต้นขึ้นแล้วในภูมิภาคของเราที่อินโดนีเซีย ประเด็นที่เกิดขึ้นไม่ใช่สิ่งที่จะชี้นิ้วเอาเองด้วยจินตนาการแบบง่ายๆ ว่า เจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงและเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองของอินโดนีเซียอ่อนแอจนรับมือไม่ได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกำลังบ่งบอกถึงสิ่งที่เกินความคาดหมาย และชุดปฏิบัติการเป็นมากกว่า "หมาป่า" ในแบบที่เราเห็นมาแล้วจากการก่อเหตุในยุโรป
จากรายงานข่าวของการก่อการร้ายที่เกิดขึ้นในวันที่ 13 และ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่า พวกเขาไม่ใช่ "หมาป่าตัวเดียว" หรือ "Lone Wolf" ที่ไม่มีสังกัดออกล่าเหยื่อ และตัดสินใจเปิดปฏิบัติการฆ่าตัวตายเองอย่างเป็นเอกเทศ แม้พวกเขาจะถูกระบุว่ามีความเชื่อมโยงกับกลุ่มไอเอส แต่ปฏิบัติการครั้งนี้มีลักษณะเป็นเหมือน "หมาป่าจากถ้ำเดียวกัน" คือเป็น "Lone Wolf Den" อย่างเห็นได้ชัด เพราะเป็นปฏิบัติการฆ่าตัวตายจากความร่วมมือของสมาชิกในครอบครัว ไม่ใช่การประกอบกำลังจากชุดปฏิบัติการขนาดเล็กอย่างที่เห็นตามปกติแต่อย่างใด
การโจมตี
การโจมตีโบสถ์ของชาวคริสต์ในเช้าวันอาทิตย์ที่ 13 พ.ค.นั้น แบ่งการโจมตีออกเป็น 3 ชุด จากปฎิบัติการของสมาชิกครอบครัวเดียวกัน 6 คน ชุดแรกประกอบด้วยแม่และลูกสาวสองคนโจมตีโบสถ์แรก ชุดที่สองเป็นลูกชายสองคนโจมตีโบสถ์ที่สอง และพ่อโจมตีโบสถ์ที่สาม สมาชิกทั้งหกเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ และมีผู้เสียชีวิต 7 รายและมีผู้บาดเจ็บกว่า 43 ราย นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ค้นพบระเบิดที่บ้านอีก 3 ชุด
ในคืนวันอาทิตย์เดียวกันนี้ เจ้าหน้าที่บุกค้นห้องพักของผู้ต้องสงสัยที่มีความเกี่ยวข้องกับการระเบิดดังกล่าว ผู้ต้องสงสัยตัดสินใจจุดระเบิดฆ่าตัวตาย ทำให้ตัวเอง ภรรยาและลูกอีกหนึ่งคนของครอบครัวนี้เสียชีวีต
เช้าวันจันทร์ที่ 14 พ.ค. ปฏิบัติการโจมตีเกิดขึ้นอีกระลอก สมาชิกครอบครัวนี้ห้าคน แบ่งออกเป็น 2 ชุดโจมตี มีเป้าหมายที่กองบัญชาการตำรวจของเมืองสุราบายา การโจมตีด้วยระเบิดฆ่าตัวตายทำให้สมาชิกของครอบครัวเสียชีวีตสี่คน แต่ลูกสาวที่รอดชีวีตมีอายุเพียง 8 ขวบเท่านั้นเอง และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บ 4 นาย
สัญญาณเตือนภัย
ปฏิบัติการในลักษณะเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยพบมาก่อนในภูมิภาค และมีลักษณะของการจัดชุดโจมตีจากสมาชิกทั้งหมดในครอบครัวเดียวกัน จนอาจเปรียบเทียบเป็นเสมือนดัง การออกล่าของ "ฝูงหมาป่าจากถ้ำเดียวกัน" ซึ่งการจัดในลักษณะเช่นนี้ก็เพื่อรักษาความลับไม่ให้รั่วไหล และเป็นชุดปฏิบัติการขนาดเล็กที่เจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงและหน่วยข่าวกรองไม่สามารถเฝ้าตรวจและติดตามได้ง่าย ซึ่งจะเอื้อให้เกิดขีดความสามารถในการโจมตีมากขึ้น
ปรากฏการณ์ใหม่เช่นนี้ทำให้หน่วยงานความมั่นคงต้องคิดทบทวนเรื่องการต่อต้านการก่อการร้ายกันอีก เพราะการโจมตีจากชุดปฏิบัติการฆ่าตัวตายจากสมาชิกในครอบครัวทั้งหมด เป็นเรื่องใหม่ที่จะต้องนำมาพิจารณาเป็นบทเรียนสำคัญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณ : ภาพเหตุการณ์ระเบิดในสุราบายา และแผนที่ จาก www.news.com.au