คิดเล่นๆ ถึง Grand Strategy ของ Jack Ma
ผมคิดว่า Grand Strategy ของ Jack Ma คือ สำหรับคนที่เป็นเจ้าของตลาด กำไรอย่างยั่งยืน จะมาจากการที่เจ้าของตลาดรู้จักพฤติกรรมของผู้ผลิต ผู้ขาย ผู้บริโภค ผู้ซื้อ ให้ดีที่สุด แต่ถ้าอยากได้กำไรมหาศาล ความสามารถในการกำหนดพฤติกรรมของผู้ผู้ผลิต ผู้ขาย ผู้บริโภค ผู้ซื้อ คืออำนาจ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปิติ ศรีแสงนาม คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์บทความภาพดเฟชบุค https://www.facebook.com/piti.srisangnam กรณีนายแจ็ค หม่า (Jack Ma) ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัทอาลีบาบาและคณะผู้บริหาร มาเยือนประเทศไทย
ผศ.ดร.ปิติ ระบุว่า เห็นภาพการต้อนรับขนานใหญ่ของรัฐบาลไทยที่จัดขึ้นเพื่อต้อนรับมหาเศรษฐีชาวจีน Jack Ma เจ้าของอาณาจักรธุรกิจ Alibaba เห็นภาพหลายๆ ท่านตื่นเต้นกับการที่ Tao Bao สามารถขายทุเรียน On-line ได้หมด 80,000 ลูกภายในเวลาไม่กี่นาที เห็นภาพการเซ็น MOU ซึ่งยังไม่รู้รายละเอียด แล้วก็เห็นภาพอาจารย์ผู้ใหญ่หลายๆ ท่านเหนื่อยใจว่า เราต้องไปเห่อเหิมกับคนๆ เดียวขนาดนี้เลยหรือ ก็เลยเกิดอาการอยากจะมาวิเคราะห์ต่อว่า ในเมื่อ Jack Ma คือนักธุรกิจ ดังนั้นขาบอกว่าเขาชอบเมืองไทย แต่จริงๆ เขาก็ต้องทำเพื่อธุรกิจของเขาด้วย คำถามคือ แล้วจริงๆ Grand Strategy ของ Jack Ma คืออะไร การวิเคราะห์ต่อไปนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ
"เริ่มจากอย่างแรก ผมไม่ได้ตื่นเต้นเลยกับการขายทุเรียน 80,000 ลูกหมดในเวลา 1 นาที เพราะมันเป็นสินค้าที่มี Demand อยู่แล้ว และคนจีนเองก็มีเรื่องแบบนี้มานานแล้ว ผมจำได้ว่าเมื่อ 15-16 ปีก่อน สมัยเพื่อนรักของผมคนหนึ่ง คือคุณวริษฐ์ ลิ้มทองกุล Varit Limthongkul เรียนหนังสืออยู่ที่ประเทศจีน แกเขียนบทความประจำลงในนิตยสารผู้จัดการรายเดือน และแกเล่าเรื่องคนจำนวนเป็นหมื่นๆ คน เหยียบกันตายบนบันไดเลื่อนของห้างค้าปลีกยักษ์ในเมืองเซิ่นเจิ่นเพื่อแย่งกันซื้อน้ำมันพืชที่ขายลดราคา อันนั้นน้ำมันพืชหลายๆ หมื่นขวดก็หมดภายในไม่กี่นาที
ในสมัยที่ยังไม่มี Social media ยังไม่มี Smart Phone เลยด้วยซ้ำ หรือในเมืองไทยเอง ตั๋วเครื่องบินราคาพิเศษที่จำหน่าย On-Line ราคาต่ำ จำนวนหลายๆ พันใบก็ขายได้ในเวลาไม่กี่นาทีเช่นกัน และนี่คือตลาดที่เล็กกว่าจีนมาก แต่สิ่งที่สำคัญที่ทำให้ปรากฎการณ์แบบนี้เกิดขึ้นคือ Demand ถ้า Demand พร้อม ช่องทางการจัดจำหน่ายสะดวก ของมีเท่าไหร่ๆ ก็ขายได้
แต่ปัญหาคือ ผู้ผลิตส่วนใหญ่ เข้าของธุรกิจส่วนใหญ่ รู้จักแต่เรื่องของตนเอง นั่นคือ Supply Side แต่ไม่รู้ว่าคนซื้อ คนกิน คนใช้ เขาต้องการของอย่างไร เขาต้องการบริการอย่างไร และยินดีจ่ายแค่ไหน
นั่นเลยทำให้มาคิดต่อว่า จริงๆ แล้ว Jack Ma ลงทุนเรื่อง Platform สร้างสิ่งแวดล้อมบนโลก On-line ไปมหาศาล ผมคิดว่า กำไรจากการกินส่วนแบ่งในการค้าขายสินค้า เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งซึ่งเป็นส่วนน้อยเท่านั้นของผลตอบแทนที่แกคาดหวังไว้ บริษัทจีนระดับ Alibaba โตมาขนาดนี้ได้ส่วนหนึ่งก็เพราะได้รับการสนับสนุนทั้งทางตรงและทางอ้อมจากรัฐบาลจีน ดังนั้นความใกล้ชิดกับรัฐบาลย่อมมีสูง แทบจะไม่แตกต่างจาก Zaibatsu ของญี่ปุ่น หรือ Chaebol ของเกาหลี
ดังนั้นการทำนโยบายไปพร้อมๆกันและเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกันระหว่างรัฐบาลกับเอกชนเป็นเรื่องปกติที่ Jack Ma และวิสาหกิจจีนอื่นๆ คุ้นชิน และผมคิดว่า สิ่งที่มีค่ามากที่สุด มีพลังสูงสุด และมีโอกาสทำกำไรมหาศาลจากสิ่งที่อาณาจักรธุรกิจอย่าง Alibaba มีคือ “ข้อมูล” ข้อมูลดิจิตอลทั้งของผู้ซื้อและผู้ขายคือสิ่งที่มีค่ามากที่สุด
ข้อมูลของพวกเราทุกคนในโลกยุคดิจิตอลถูกจัดเก็บในทุกวินาทีที่เราทำกิจกรรมในโลก On-line ผ่านเครือข่ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Google, Facebook, Instagram หรือแม้แต่ข้อมูลส่วนตัวมากๆ อย่างเช่นการเต้นของหัวใจ หรืออัตราการเผาผลาญแคลอรีก็ถูกจัดเก็บผ่านอุปกรณ์สวมใส่อิเล็กทรอนิกส์ (Wearable Device) ไม่ว่าจะเป็น Fitbit, Apple Watch ฯลฯ
คำถามสำคัญคือ จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าข้อมูลเหล่านี้และระบบ ICT เหล่านี้ถูกนำไปใช้ในลักษณะที่ทำให้ศักยภาพของคนในการควบคุมระบบลดลง และกลายเป็นระบบที่ควบคุมคนมากยิ่งขึ้น
ลองจินตนาการดูว่า ถ้า รูปแบบการซื้อสินค้า On-line ของพวกเราไม่ว่าจะเป็น สี ขนาด ราคา ระยะเวลาในการตัดสินใจ รสนิยม ฯลฯ ถูกจัดเก็บนำไปวิเคราะห์ และวางแผนการตลาดที่ออกแบบมาเพื่อส่ง Live-feed เข้ามาบน Smartphone แล้วทำให้เราอยากจะรูดบัตรเครดิตเพื่อซื้อสินค้านั้นๆ ทุกครั้ง เช่นเดียวกับสถานที่ที่เราเดินทางไปและใช้เวลาในแต่ละวัน รวมทั้งใครบ้างคือคนที่คุณพูดคุย Chat กด Like โทรศัพท์ หรือส่งข้อความไปหา ถูกนำมาวิเคราะห์ จับตามอง และนำไปแสวงหาประโยชน์ หรือลักษณะของเกมส์คอมพิวเตอร์ที่คุณสั่งซื้อ ถูกนำไปวิเคราะห์ทางจิตวิทยาร่วมกับรูปแบบการเล่นเกมส์ ระยะเวลาที่ใช้ในการเล่นเกมส์ รวมทั้งใครคือคนที่คนเล่นเกมส์ด้วย กลายเป็นเครื่องมือที่ถูกปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) หรือปัญญาสังเคราะห์ (Synthetic Intelligence: SI) นำไปวิเคราะห์ จัดเก็บ และคิดคำนวณออกมาเป็น ดัชนี หรือ คะแนนที่วัดความเป็นมนุษย์ของคุณ และยังเอาคะแนนเหล่านี้มากำหนดชีวิตและการตัดสินใจของคุณอีก คุณจะรู้สึกอย่างไร คุณอาจจะพิจารณาว่านี่มันคือโลกในฝันร้าย หรือ Dystopian World ในจินตนาการของนักเขียนอย่าง Gorge Orwell หรือ Aldous Huxley
แต่ผมอยากจะบอกคุณผู้อ่านว่า วันนี้โลกแบบนี้กำลังจะเกิดขึ้นจริงแล้ว
วันที่ 14 มิถุนายน 2014 State Council ของประเทศจีน ประกาศ Planning Outline for the Construction of a Social Credit System (SCS) เพื่อสร้างระบบเครดิตทางสังคมนี้ รัฐบาลจีนร่วมมือกับบริษัทเอกชนจีนอีก 8 บริษัทจะเดินหน้านำข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ของการใช้ชีวิตของประชากรมาวิเคราะห์ ให้คะแนน และนำคะแนนนี้ไปประกอบการตัดสินใจในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ Alibaba แน่นอนเป็นหนึ่งในบริษัทที่รับงานนี้
พวกเราน่าจะคุ้นชื่อ Alibaba กันดี เพราะนอกจากจะเป็นเจ้าของ Taobao หรือ Ebay ฉบับจีนแล้ว Alibaba ก็มีสถาบันการเงินของตนเองด้วย นั่นคือ Ant Financial Service Group (AFSG) ซึ่งเน้นให้สินเชื่อกับ SMEs
Alibaba มีฐานข้อมูลขนาดมโหฬาร หรือที่เราเรียกว่า Bigdata และยังมีระบบ AI ที่สามารถคิด วิเคราะห์ เรียนรู้รูปแบบการตัดสินใจของเจ้าของข้อมูลเหล่านี้ได้ในลักษณะที่เราเรียกกันว่า Machine Learning ซึ่งปัจจุบันพัฒนาไปมากถึงขนาดสร้างระบบที่เลียนแบบชีวภาพและกระบวนการของสมองมนุษย์ในการคิดที่เรียกว่า Artificial Neural Network (ANN) learning algorithm จนทำให้พวกมันสามารถเรียนรู้และวิวัฒนาการเรียนรู้ด้วยตนเองได้ในรูปแบบที่เรียกว่า Deep Learning มาลองดูกันว่า เมื่อข้อมูลเหล่านี้ถูกนำมาวิเคราะห์และให้คะแนนเป็นเครดิต เขามีวิธีคำนวนเครดิตของมนุษย์อย่างไร
Sesame Credit ของ Alibaba (AFSG) ที่มีช่วงคะแนนระหว่าง 350 – 950 คะแนน และมีเกณฑ์การให้คะแนนมากจาก 5 ปัจจัย ได้แก่
1. Credit History ดูซิว่า คุณจ่ายเงินค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา ค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ ค่าโทรศัพท์มือถือ ค่าบัตรเครดิต ฯลฯ มีรายจ่ายอะไรบ้าง
2. Fulfilment Capacity ดูความสามารถ ดูศักยภาพของคุณว่าสามารถปฏิบัติได้ตรงตามสัญญาหรือไม่ (Contract Obligations) อาทิ จ่ายตรงเวลาหรือไม่ จ่ายเต็มจำนวน หรือแค่จ่ายขั้นต่ำ ได้ใบเสร็จวันนี้แล้วจ่ายใบเสร็จวันไหน
3. Personal Characteristics เริ่มจากข้อมูลพื้นฐาน เช่น หมายเลขโทรศัพท์มือถือ หมายเลขโทรศัพท์บ้าน ที่อยู่ รวมไปถึงการวิเคราะห์ที่ต่อเนื่อง เช่น ถ้าคุณเป็นเจ้าของหมายเลขโทรศัพท์บ้าน นั่นหมายความว่าคุณมีหลักแหล่งชัดเจน ที่อยู่ของคุณตั้งอยู่ในย่านไหนของเมือง คุณเป็นเจ้าของเองหรือไม่ บ้านและที่ดินนั้นอยู่ในพื้นที่ที่จะมีโอกาสเพิ่มมูลค่าเพิ่มราคาและเพิ่มความมั่งคั่งได้มากน้อยแค่ไหน
4. Behavior and Preference วิเคราะห์ลงมาถึงเรื่องของพฤติกรรม ความชอบ และรูปแบบการใช้ชีวิต อาทิ ถ้าข้อมูลแสดงให้เห็นว่าคุณ Log-in เข้าระบบเล่นเกมส์ On-line ต่อเนื่องกันวันละเกินกว่า 10 ชั่วโมง/วัน นั่นหมายความว่า คุณเป็นคนว่างงานและขี้เกียจสันหลังยาว เพราะนอกจากจะไม่ทำงานและยังไม่มีแนวโน้มจะออกไปหางานทำอีกต่างหาก
แต่ถ้าข้อมูลบัตรเครดิต หรือการ On-line Shopping ของคุณเป็นการสั่งซื้อผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับเด็กอ่อน และสั่งซื้ออย่างสม่ำเสมอ ในปริมาณที่พอเหมาะ ข้อมูลนี้ก็แสดงให้เห็นว่า คุณเป็นคนมีครอบครัวที่มีความรับผิดชอบ และข้อมูลบางอย่างก็ไม่ได้อยู่ในโลก Online แต่ก็ถูกนำมาวิเคราะห์ด้วย เช่น ข้อมูลประวัติการเรียน การทำข้อสอบ (รวมทั้งการโกงข้อสอบ และการหนีเรียน) จาก China’s Education Bureau
5. Inter-personal Relationships ข้อมูลจากการ Post ข้อความใน Social media การ follow การกด Like ทำให้สามารถวิเคราะห์ได้ว่า คุณมีทัศนคติต่อเรื่องต่างๆ อย่างไร มีความสนใจด้านไหน การ check-in ในสถานที่ต่างๆ รวมทั้งการ tag เพื่อนๆ ของคุณที่มีรูปถ่ายด้วยกัน แสดงให้เห็นได้ว่า คุณมีมนุษยสัมพันธ์อย่างไร มีมารยาททางสังคม และมีการเข้าสังคมมากน้อยเพียงใด เหมาะสมหรือไม่
ระบบ ICT จะเก็บข้อมูลเหล่านี้จากคนเป็นล้านๆ คนที่ทำกิจกรรมทุกสิ่งอย่างของชีวิตบนระบบคอมพิวเตอร์ และอิเล็กทรอนิกส์ จากนั้น AI และ/หรือ SI จะทำหน้าที่วิเคราะห์และให้คะแนน ในกรณีของ Sesame Credit ของ Alibaba นั้น ถ้าคุณได้
• คะแนนมากกว่า 600 นั่นหมายถึงคุณสามารถกู้เงินจาก AFSG ได้จนถึงเพดานที่ 5,000 RMB
• คะแนนมากกว่า 650 นั่นหมายถึงคุณสามารถเช่ารถยนต์ได้โดยไม่ต้องวางเงินมัดจำ และยังได้ Fast track ในการ Check-in ที่สนามบินและโรงแรมต่างๆ
• คะแนนมากกว่า 666 นั่นหมายถึงคุณสามารถเงินจาก AFSG ได้จนถึงเพดานที่ 50,000 RMB
• คะแนนมากกว่า 700 นั่นหมายถึงคุณสามารถขอวีซ่าไปเที่ยวประเทศสิงคโปร์ได้โดยไม่ต้องมีใบรับรองการทำงาน
• คะแนนมากกว่า 750 นั่นหมายถึงคุณได้รับสิทธิ์ Fast track ในการขอวีซ่าไปประเทศในกลุ่ม Schengen
การได้เครดิต SCS ต่ำยังหมายถึง คุณอาจจะไม่สามารถเข้าถึงอินเตอร์เนตความเร็วสูงได้ การถูกห้ามไม่ให้เข้าไปใช้บริการในธุรกิจบางประเภท อาทิ ร้านอาหาร สนามกอล์ฟ ที่เที่ยวกลางคืน ฯลฯ หรือ แม้แต่การจำกัดสิทธิ์ไม่ให้ออกเดินทางไปเที่ยวในต่างประเทศ เพราะคุณอาจจะทำให้ชื่อเสียงของประเทศต้องมัวหมองจากพฤติกรรมส่วนตัวที่ไม่เหมาะสม
คนที่มีเครดิตต่ำจะไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินบางประเภทได้ อาทิ การประกันชีวิต การประกันภัย
หรือ คนที่ข้อมูลจาก fitbit แจ้งว่า คุณไม่ออกกำลังกาย พฤติกรรมการซื้อของกินของใช้ของคุณ แสดงให้เห็นว่า คุณไม่รักษาสุขภาพของตนเอง นั่นอาจจะทำให้คุณได้รับสิทธิสวัสดิการทางสังคมที่ลดลง หรือแม้แต่ถูกห้ามไม่ให้เข้าทำงานในหน่วยงานของรัฐ
บางอาชีพที่ต้องมีจริยธรรมสูงๆ อาทิ สื่อมวลชน บุคลากรทางกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมาย เพียงเพราะคุณกด Like และ Follow บุคคลอันตรายบางคน เข้า Website ที่เกี่ยวข้องกับผู้ก่อการร้าย หรือทำพฤติกรรมไม่เหมาะสมในโลก On-line และข้อมูลเหล่านี้ของตัวคุณเองยังอาจส่งผลถึงลูกหลานของคุณด้วย เพราะการที่คุณเครดิตไม่ดี อาจทำให้คุณไม่สามารถนำลูกของคุณไปสมัครเรียนในโรงเรียนบางแห่งได้
และในปี 2016 State Council General Office ของประเทศจีน ประกาศ Warning and Punishment Mechanism for Persons Subject to Enforcement for Trust-Breaking ออกมาแล้ว เห็นแล้วใช่มั้ยว่า การจัดเก็บและประมวลผลในโลก ICT มันกำหนดชีวิตของพวกเราได้อย่างไร
ผมคิดว่า Grand Strategy ของ Jack Ma คือ สำหรับคนที่เป็นเจ้าของตลาด กำไรอย่างยั่งยืน จะมาจากการที่เจ้าของตลาดรู้จักพฤติกรรมของผู้ผลิต ผู้ขาย ผู้บริโภค ผู้ซื้อ ให้ดีที่สุด แต่ถ้าอยากได้กำไรมหาศาล ความสามารถในการกำหนดพฤติกรรมของผู้ผู้ผลิต ผู้ขาย ผู้บริโภค ผู้ซื้อ คืออำนาจ"