แรงงานนอกระบบร้องรายได้ต่ำกว่าในระบบ 10 เท่า จี้เร่ง กม.คุ้มครองผู้รับงานไปทำบ้าน
แรงงานนอกระบบร้องรายได้ไม่ถึงร้อยบาท จี้เร่ง กม.คุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้าน ด้านประกันสังคม ม.40 แรงงานร่วมแค่ 5% สปสช.เผยระบบสาธารณสุขไม่ครอบคลุมเกษตรกรเสี่ยงสารเคมี
วันที่ 30 เม.ย. 55 คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ(สช.) จัดเวทีสมัชชาสุขภาพเจาะประเด็นเรื่อง “สุขภาพแรงงานนอกระบบ : ความจริงที่ถูกลืม” ที่สำนักงานคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)โดยนางพูลทรัพย์ สวนเมือง ตุลาพันธุ์ ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ กล่าวว่าแรงงานนอกระบบหรือผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ไม่มีนายจ้าง อาทิ คนขับรถรับจ้าง หาบเร่ แผงลอย รวมถึงกลุ่มผู้ที่รับงานไปทำที่บ้าน เป็นแรงงานกลุ่มที่ส่วนมากจะมีปัญหาหลักๆ 3 เรื่อง คือ
1. ค่าจ้างที่ได้น้อยกว่าแรงงานในระบบถึง 10 เท่า โดยปัจจุบันแรงงานในระบบได้รับค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 300 บาท ขณะที่แรงงานนอกระบบประมาณ 150-200 บาทต่อวัน และบางอาชีพเช่นขอดเกล็ดปลาได้รับค่าจ้างเพียง 30-40 บาทต่อวันเท่านั้น หากอยากมีรายได้เพิ่มต้องเพิ่มเวลาการทำงานมากกว่า 10 ชั่วโมงขึ้นไป 2.มีงานทำไม่ต่อเนื่อง และ 3. สภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัยในการทำงาน
นางพูลทรัพย์ กล่าวอีกว่า แม้ว่าจะมีการประกาศใช้ พ.ร.บ. คุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้าน พ.ศ. 2553 แล้วตั้งแต่ 15 พ.ค. 54 แต่ในทางปฏิบัติยังต้องรอการออกกฎหมายลูกอีกหลายฉบับออกมารองรับ แต่ทั้งนี้ระหว่างรอตนอยากให้ผู้รับผิดชอบเร่งตั้งคณะกรรมการผู้รับงานไปทำที่บ้านก่อน เพื่อที่จะได้ดำเนินการในเรื่องอื่นๆไปก่อนได้ รวมถึงการเพิ่มสิทธิประโยชน์ในการเข้าเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ของ พ.ร.บ.ประกันสังคม เพื่อจูงใจให้แรงงานนอกระบบร่วมเป็นผู้ประกันตน เช่น การให้เงินชดเชยเสียรายได้จากการเจ็บป่วยตั้งแต่ 2 วันขึ้นไป อย่างน้อยวันละ 200 บาท นอกจากนี้ยังมีแรงงานนอกระบบในกลุ่มก่อสร้าง เกษตรพันธสัญญา และรับจ้างทำงานบ้านก็ควรมีการออกกฎหมายเพื่อคุ้มครองเช่นกัน
“ตอนนี้ค่าจ้างแรงงานในระบบจะได้ 300 บาทต่อวันจริงหรือไม่ก็ตาม แต่แรงงานนอกระบบอย่างเรา รายได้วันหนึ่งแค่ 30-40 บาท ต่ำกว่ากันถึง 10 เท่า อยู่ยากมากเพราะข้าวของแพง ค่าครองชีพขึ้นมาก อาหาร ค่ารถ ขึ้นราคาหมดแต่ค่าแรงเราไม่ขึ้น จึงอยากฝากผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงแรงงาน รัฐบาล รวมถึงนายกรัฐมนตรีให้ลงมาดูแล” นางพูลทรัพย์ กล่าว
ด้าน นายวินัย ลู่วิโรจน์ รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน กล่าวว่าปัจจุบันมีแรงงานทั้งสิ้น 38.88 ล้านคน จำนวนนี้เป็นแรงงานในระบบ 14.1 ล้านคน เป็นแรงงานนอกระบบ 24.24 ล้านคน หรือ 2 ใน 3 โดยแรงงานในระบบที่มีนายจ้างชัดเจนจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายแรงงานอยู่แล้ว ส่วนแรงงานนอกระบบเพิ่งได้รับความคุ้มครองภายหลังจากที่มี พ.ร.บ.คุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้าน ซึ่งครอบคลุมกลุ่มคนประมาณ 400,000 คน
ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 20 ล้านคนนั้นมีมาตรา 40 พ.ร.บ.ประกันสังคมรองรับ ทั้งในเรื่องความเจ็บป่วย พิการ และเสียชีวิต เท่ากับว่า ขณะนี้แรงงานทั้งหมดต่างมีระบบสวัสดิการที่พร้อมจะดูแลคุ้มครองแล้ว แต่ปัจจุบันมีแรงงานนอกระบบเข้าสู่มาตรา 40 เพียงแค่ 1 ล้านคนเท่านั้น เนื่องจากแรงงานกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นแรงงานในชนบทที่ไม่คุ้นเคยกับการต้องจ่ายเงินเพื่อสวัสดิการ ซึ่งเรื่องนี้จำเป็นต้องประชาสัมพันธ์ให้เกิดความเข้าใจว่าเป็นสวัสดิการและสิทธิพิเศษที่เป็นประโยชน์ต่อแรงงานเองในระยะยาว
นายวินัย ยังกล่าวถึงความคืบหน้าเรื่องกฎหมายลูกตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้านว่าได้จัดทำแล้วเสร็จ 6 ฉบับ และประกาศมีผลบังคับใช้แล้ว เหลืออีก 8 ฉบับ อยู่ระหว่างดำเนินการ เนื่องจากบางเรื่องต้องดูรายละเอียดทางวิชาการ อาทิ ร่างกฎกระทรวงกำหนดงานที่มีลักษณะอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของหญิงมีครรภ์หรือเด็กซึ่งมีอายุต่ำกว่าสิบห้าปี, ร่างกฎกระทรวงกำหนดงานที่ห้ามผู้จ้างงานจ้างผู้รับงานไปทำที่บ้าน, ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการจ่ายค่ารักษาพยาบาล ค่าฟื้นฟูสรรถภาพและค่าทำศพ และร่างประกาศกฎกระทรวงแรงงานเรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการในการแต่งตั้ง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อเป็นคณะกรรมการคุ้มครองการรับงานไปทำที่บ้าน ที่ต้องมีผู้แทนจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้อยู่ระหว่างเร่งรัด ซึ่งในปี 2555 นี้จะให้แล้วเสร็จอีก 4 ฉบับ
ด้าน นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ รองเลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า แม้ระบบ 30 บาทรักษาทุกโรค ได้พัฒนาการดูแลผู้ป่วยที่เป็นแรงงานนอกระบบกว่า 24 ล้านคนมาอย่างต่อเนื่อง แต่ระบบบริการสาธารณสุขของไทยยังเป็นระบบบริการทั่วไป ไม่มีการจัดระบบเฉพาะให้เหมาะแก่แรงงานนอกระบบที่ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรกว่า 14 ล้านคนที่เสี่ยงกับการได้รับสารเคมี อีกทั้งเป็นบริการเชิงรับทำให้แรงงานนอกระบบรายได้ไม่สูงเข้าถึงยาก ซึ่งต้องเร่งขยายการบริการแบบปฐมภูมิ โดยเพิ่มพยาบาลและบริการด้านอาชีวะเวชศาสตร์ เพิ่มจำนวนแพทย์ขยายจากโรงพยาบาลใหญ่ไปสู่โรงพยาบาลอำเภอ ชุมชน
นายแพทย์ประทีป กล่าวด้วยว่า สปสช.ได้ทำการทดลองการบริการรักษาพยาบาลแบบปฐมภูมิร่วมกับท้องถิ่น นำร่องที่ จ.ลำพูนและขอนแก่น หากสำเร็จจะขยายรูปแบบการบริการเน้นการทำงานเชิงรุก โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกที่ทั่วประเทศเป็นแกนนำ .