ทีดีอาร์ไอชงเพิ่มดัชนีค่าครองชีพ ลดผลกระทบค่าจ้าง “นายจ้าง-แรงงานอยู่รอด”
ทีดีอาร์ไอ ชี้ปรับค่าจ้างรอบสองทั่ว ปท.ช็อคหนักกว่านี้ มูลค่าจริงต่ำกว่า 300 บ. ชง 3 แนวทางให้ คกก.ค่าจ้างกลาง ปรับเพิ่มดัชนีค่าครองชีพทุกปี ช่วยนายจ้างปรับตัว-แรงงานไม่จนลง
วันที่ 30 เม.ย.55 ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาแรงงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ประเมินผลกระทบนโยบายของค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทและเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท ตามที่รัฐบาลได้เดินหน้ามีผลบังคับใช้แล้วบางส่วน โดย 7 จังหวัดได้ค่าจ้างเพิ่มเป็น 300 บาท และจะปรับอีกครั้งใน ม.ค. 56 ซึ่งจะทำทั่วประเทศมีค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทเท่ากัน
โดยการมีค่าจ้างเท่ากันทั่วประเทศแล้วจะไม่ให้ปรับไปอีก 2 ปี(2557-2558) อาจไม่เป็นธรรมกับผู้ใช้แรงงาน เพราะเมื่อถ่วงดุลด้วยค่าครองชีพที่สูงขึ้นทุกปีจะทำให้ค่าจ้างแท้จริง(ค่าจ้างเป็นตัวเงินปรับด้วยค่าครองชีพ)มีมูลค่าน้อยกว่า 300 บาท หากไม่มีการปรับเพิ่มค่าครองชีพในแต่ละปีจะทำให้แรงงานจนลง
ดร.ยงยุทธ กล่าวว่าจากผลกระทบด้านต่างๆที่ทุกฝ่ายได้รับแตกต่างกันไป นำมาสู่การเสนอทางเลือกที่สามารถลดผลกระทบ มีเวลาให้นายจ้างปรับตัวและลูกจ้างได้รับค่าจ้างอย่างเหมาะสม มีเหตุผล ลดการเรียกร้องการขึ้นค่าจ้างทุกปี โดยการศึกษาเสนอให้นำผลการคาดการณ์ภาวะค่าครองชีพ(CPI) ของกระทรวงพาณิชย์(ซึ่งทำทุกปี) ในแต่ละจังหวัดมาใช้เป็นฐานพิจารณา
“ปี 2556 การปรับขึ้นค่าจ้างจะมีปัญหาทั้งใน 7 จังหวัดที่ขึ้นไปก่อนแล้วและ 70 จังหวัดที่กำลังจะได้ รอบสองจะช็อกและจะใหญ่กว่ารอบแรก เนื่องจากเป็นการปรับขึ้นในอีก 70 จังหวัดที่มีค่าจ้างห่างจาก 300 บาทมาก ขณะที่ 7 จังหวัดที่แรก หากไม่ปรับเพิ่มค่าครองชีพก็จะทำให้อำนาจซื้อลดลง”
นักวิชาการทีดีอาร์ไอ กล่าวอีกว่าหากยืนตามนโยบายรัฐบาลจะทำให้ในปี 2556 ทุกจังหวัดจะมีค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท และให้ค่าจ้างคงที่ไปอีก 2 ปีจนถึงปี 2558 ทีดีอาร์ไอประเมินว่าอำนาจซื้อจากเงิน 300 บาทจะลดลงไปพอๆกับค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น ทำให้ค่าจ้างขั้นต่ำแท้จริงเฉลี่ยในปี 2556 อยู่ที่ 299 บาท โดย 7 จังหวัดแรกที่ได้ขึ้นค่าจ้างไปก่อนจะเสียเปรียบกว่า โดยกรุงเทพฯเหลือ 293 บาท นครปฐมเหลือ 290 บาท ปทุมธานีเหลือ 292 บาท นนทบุรี สมุทรปราการและภูเก็ตเหลือ 289 บาท สุดท้ายสมุทรสาครเหลือ 287 บาท
ทั้งนี้ทีดีอาร์ไอ เสนอ 3 แนวทางที่จะลดผลกระทบในปี 2556 ทำให้ลูกจ้างไม่จนลง นายจ้างมีเวลาปรับตัว ทางเลือกที่ 1 เพิ่มค่าจ้างเป็น 2 งวด ลดปัญหาความเดือดร้อนของภาคธุรกิจที่มีต้นทุนค่าแรงสูงและปรับตัวไม่ทัน โดยปี 2556 ขึ้นค่าจ้าง 27-55 บาท เพิ่มอีก 18 จังหวัด จากจังหวัดที่มีความเป็นไปได้ในทุกภูมิภาคก่อน เมื่อรวม 7 จังหวัดเดิมที่ได้ขึ้นไปก่อนรอบแรกจะทำให้มี 25 จังหวัดที่มีค่าจ้าง 300 บาท จากนั้นปี 2557 ขึ้นค่าจ้าง 56-78 บาทให้กับอีก 52 จังหวัดที่เหลือซึ่งจะทำให้ในปี 2557 มีค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทเท่ากันทั่วประเทศ ขณะเดียวกันจังหวัดที่เคยขึ้นไปก่อนหน้านี้แล้วก็ต้องมีการปรับค่าครองชีพโดยอัตโนมัติ เช่น ถ้าค่าครองชีพเพิ่มขึ้น 4% ใน2 ปีข้างหน้าค่าจ้างขั้นต่ำในปี 2556จะเป็น 312 บาทและในปี 2557 จะเป็น 324 บาท การนำค่าครองชีพมาพิจารณาในการปรับก็เพียงเพื่อทำให้แรงงานไม่ต้องยากจนลงกว่าปีก่อน ยังมิได้พิจารณาผลิตภาพแรงงานที่เพิ่มขึ้น ซึ่งนายจ้างก็ควรเพิ่มในส่วนของการเพิ่มเงินเดือนให้ได้อีก
“เป็นทางเลือกขั้นต่ำสุดที่จะไม่ทำให้แรงงานที่เคยปรับ 300 บาทไปแล้วจนกว่าเดิม ทุกจังหวัดจะปรับตามค่าครองชีพทุกปี ไม่เว้นจังหวัดที่เคยขึ้นค่าจ้างแล้ว และปี 2557 จังหวัดในกลุ่มค่าจ้างต่ำสุดจะได้ 300 และเป็นทางเลือกที่ผ่อนคลายสำหรับผู้ประกอบการ เน้นอำนาจซื้อของแรงงานที่เท่ากันทั้งประเทศ ”
ทางเลือกที่ 2 ไม่เข้มงวดเหมือนทางเลือกแรก โดยขึ้นค่าจ้างครั้งเดียว 40% (เพิ่มไปแล้วในปี 2555) และทุกปีให้ปรับขึ้นตามดัชนีค่าครองชีพ แต่พบว่าต้องใช้เวลาถึง 10 ปี (2556-2565) จึงจะทำให้จังหวัดอ่างทองจะเป็นจังหวัดสุดท้ายที่ได้ค่าจ้าง 300 บาท (ที่จริงอยู่ที่ 304) โดยลำปางมีค่าจ้างสูงสุด 564 บาท (ในปี 2565) กรุงเทพฯจะมีค่าจ้างเพียง 431 บาท แต่ถ้าผู้ประกอบการใช้คุณภาพแรงงานที่เพิ่มขึ้นมาเป็นบรรทัดฐานปรับเพิ่มให้ก็อาจใช้เวลาประมาณ 4-6 ปี ที่ทุกจังหวัดจะมีค่าจ้างไม่ต่ำกว่า 300 บาทต่อวัน
ทางเลือกที่ 3 ตามแนวทางข้อเรียกร้องของสภาอุตสาหกรมแห่งประเทศไทยที่ขอเลื่อนการดำเนินนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทเท่ากันทั่วประเทศเป็น ม.ค.58 หรือเลื่อนไปอีก 3 ปี โดยทุกจังหวัดที่เคยขึ้นเงินเดือน 40% ของค่าจ้างของแต่ละจังหวัด จะต้องปรับค่าครองชีพ(CPI)โดยอัตโนมัติ ตามการคาดการณ์ของกะทรวงพาณิชย์(แต่ละจังหวัดจะได้รับการปรับขึ้นค่าจ้างตามฐานเงินเดือนที่แตกต่างกัน) จากนั้นในปี 2558 ทุกจังหวัดจะได้ค่าจ้างขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 300 บาทต่อวันครบทุกจังหวัด โดยแนวทางนี้การปรับค่าจ้างขั้นต่ำจะเพิ่มขึ้นไม่ถึง 35% ของจังหวัดที่เคยได้รับเพิ่ม 40% ในปี 2555 และได้ปรับค่าครองชีพมาแล้วทุกปี
ข้อดีของทางเลือกนี้คือจังหวัดที่ได้รับไปแล้วจะไม่จนลง เจ้าของกิจการมีการปรับตัวช้าๆโดยเฉพาะเอสเอ็มอี มีเวลาปรับโครงสร้างค่าจ้างให้สอดคล้องกันในแต่ละปี ไม่ต้องใช้เงินมากในปีเดียวในการขึ้นเงินเดือนสูงสุด(บางจังหวัด)ถึง 35% และสร้างแรงกดดันเงินเฟ้อน้อยกว่า โดยช่วงเงินที่ต้องปรับ(ยกเว้น 7 จังหวัดที่ได้ไปแล้วในปี 2555) คือ 2-20 บาทใน 9 จังหวัด 21-40 บาท 34 จังหวัด 41-58 บาท 27 จังหวัด จึงจะครบ 100% เท่ากันหมดทั้งประเทศ แต่นายจ้างจำเป็นต้องมีเงินหมุนเวียนเพื่อใช้ปรับเพิ่มตาม CPI ทุกปี
ดร.ยงยุทธ กล่าวด้วยว่า แนวทางดังกล่าวเป็นข้อเสนอที่จะทำให้แรงงานไม่จนลง เพราะจะได้ปรับขึ้นทุกปีตามค่าครองชีพ ซึ่งหากคณะกรรมการค่าจ้างกลางนำมาใช้ ก็จะช่วยลดการเรียกร้องของแรงงาน และทำให้นายจ้างมีเวลาปรับตัวพอสมควร