เวทีแรงงานชงแก้กม.เพื่อเอกภาพปลดล็อคปัญหาทั้งระบบ
รองปลัดแรงงานชงตั้งกองทุนคนรับงานมาทำที่บ้านเปิดโอกาสเข้าถึงสวัสดิการ “สุนี ไชยรส”ชี้ค่าจ้าง300ไม่แก้ปัญหากรรมกร กลุ่มทุนเตะถ่วงคัดค้าน ขณะที่ผู้นำแรงงานเผยกลวิธีนายจ้างตุกติกขึ้นค่าแรง
วันที่ 27 เม.ย.55 ที่โรงแรมอิสติน มักกะสัน กรุงเทพฯ คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย สมาพันธุ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์โซลิดาริตี้เซ็นเตอร์(เอสซี) องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ไอแอลโอ) มูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท(เอฟอีเอส) จัดเสวนามาตรการลดช่องว่างทางสังคมในกลุ่มแรงงาน : อนุสัญญา 87/98และกลไกลแรงงานสัมพันธ์โดย นางส่งศรี บุญบา รองปลัดว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานและกล่าวเปิดงานว่า กระทรวงแรงงานมีมาตรการเพื่อลดช่องว่างของกลุ่มทุนผู้มีอำนาจทางเศรษฐกิจกับลูกจ้าง ดังนี้ 1.ปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำให้สูงขึ้นเป็นการปรับแบบก้าวกระโดด ภายในวันที่ 1 ม.ค. ปีหน้าจะปรับให้ครบทุกจังหวัด 2. เพิ่มสิทธิประโยชน์ด้านประกันสังคมโดยจะพัฒนาด้วยการศึกษารูปแบบจากต่างประเทศ 3.ขยายความคุ้มครองประกันสังคมไปสู่แรงงานนอกระบบ 4.ปรับเปลี่ยนสถานะภาพแรงงานต่างด้าว เข้าในระบบได้รับสิทธิประโยชน์เรื่องประกันสังคมและสวัสดิการ 5.พัฒนาระบบคุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้านให้มีกองทุนผู้รับงาน ลดเงื่อนไขต้องตั้งกลุ่มอย่างน้อยจาก 10 คนเหลือ 5 คน ลดดอกเบี้ยจากร้อยละ 5 เหลือร้อยละ 3 เพื่อให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น
“การปรับปรุงกฎหมายหลายฉบับเพื่อให้สอดคล้องกับปัจจุบันและอนาคตที่จะก้าวสู่ประชาคมอาเซียน(เออีซี)โดยกำหนดแนวทางพัฒนาไปยังกรมพัฒนาแรงงานกระทรวงศึกษาธิการเพื่อให้มีการปรับหลักสูตรการสอน สร้างคุณภาพการศึกษา ในระบบโรงเรียน หวังจะให้ผลิตคนให้มีคุณภาพและมีคุณสมบัติที่นายจ้างต้องการ มีมาตรการเชิงรุกให้คนสามารถหางานทำในประเทศอื่น และเชิงรับเพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศอื่นแย่งงานโดยวันที่ 8 พ.ค.จะมีการประชุมตัวแทนแรงงานเพื่อเตรียมเสนอกฎหมายเข้าครม.”รองปลัดกระทรวงแรงงานกล่าว
สุนี ไชยรส รอง ประธานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย กล่าวว่า ช่องว่างสังคมของผู้ใช้แรงงานเกิดจากทิศทางการพัฒนาประเทศผิดพลาด มุ่งให้ความสำคัญการพัฒนาทุน การส่งออก ตัวเลขรายได้ของกล่มทุน มากเกินไป ขณะที่การช่วยเหลือแรงงานด้วยการเพิ่มค่าแรง 300 บาทก็ยังไม่เป็นจริง เพราะถูกกลุ่มทุนจำนวนมากคัดค้าน เตะถ่วง โครงสร้างการเมืองอยู่ในกลุ่มทุนจำนวนมาก ทฤษฎีบอกมาตลอด กฎหมายร่างโดยใครรับใช้คนนั้น ทัศนคติสังคมยังมีกรอบโครงสร้างการเมืองและนโยบายรัฐมาเกี่ยวข้อง อีกทั้งกฎหมายบางฉบับยังล้าหลัง ราชการทำงานไม่มีประสิทธิภาพ ขณะที่กฎหมายหลายฉบับเขียนไว้ดีแต่การปฏิบัติไม่ตอบสนองความต้องการประชาชน
“การแก้ไขปัญหาแรงงานต้องสร้างองค์ความรู้ให้ชัดเจนโดยสร้างฐานสวัสดิการสังคมที่กฎหมายเอื้ออำนวย ใช้กระบวนการตรวจสอบอำนาจรัฐ นำไปสู่การแก้กฎหมายเป็นธรรมอีกทั้งส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมสร้างความเข้มแข็งไม่ปล่อยให้นักการเมืองนำคำว่าประชาธิปไตยมาหาผลประโยชน์และผู้ใช้แรงงานควรร่วมมือกับชนบทที่ถูกแย่งชิงทรัพยากรกำลังล่มสลาย สามัคคีเคลื่อนไหวร่วมกับชาวนา เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม เพราะกรรมกรส่วนใหญ่มาจากชนบทต้องผสานกับรากเหง้า สู้ด้วยกัน ขยายเครือข่ายให้มากที่สุด” รอง ประธานคณะกรรมการปฏิรูปกฏหมาย กล่าว
ด้าน นายสาวิทย์ แก้วหวาน เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ กล่าวว่า พลังในการเคลื่อนไหวของกลุ่มแรงงานโดนริดรอนสิทธิ์ตั้งแต่ปี 2535 จนถึงปีปัจจุบัน ต้องเคลื่อนไหว รณรงค์ จัดเสวนา สื่อสิ่งพิมพ์ เหมือนสูญเปล่าเพราะไม่มีสัญญาณว่ารัฐบาลจะแก้ไขกฎหมาย มีแต่ยืดเยื้ออย่างไรก็ตามตนไม่เชื่อว่ารัฐบาลจะรับรองกฎหมายหรือมีกฎหมายที่ออกโดยรัฐบาลที่สอดคล้องกับอนุสัญญา87/98 ทำให้ชีวิตคนงานดีขึ้น เห็นได้จากนโยบายที่ออกโดยรัฐบาลค่าแรง 300 บาทสร้างผลกระทบมีทั้งการปลดคนงาน และนายจ้างปรับลดสวัสดิการอื่น ๆ มีตัวอย่างโรงงานแห่งหนึ่งในจังหวัดนครราชสีมา และกาญจนบุรี ใช้วิธีนำสวัสดิการที่คนงานควรจะได้รับ มารวมกับค่าจ้างให้ได้ครบ 300 บาท ซึ่งมีคนงานมากกว่า 15,000 คนที่ต้องพบกับสภาพปรับย้ายฐานเงินค่าจ้างที่ไม่เป็นธรรม
“ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้เข้ากับนโยบายรัฐ คนงานไม่มีสิทธิมีเสียง จึงใช้เวลาต่อสู้เรียกร้องให้มีกฎหมายที่ยึดเจตนารมณ์อนุสัญญาเพื่อเพิ่มอำนาจการรวมตัวคนงานได้โดยปราศจากการแทรกแซงของรัฐ ในวันที่ 8 ที่รัฐบาลจะจัดพูดคุย ผมว่าหนทางแก้ไขกฎหมายไม่เรียบง่ายต้องมีหน่วยงานใดที่รัฐทำให้คนงานแตกแยกความคิด แล้วพูดให้เรารอหลังจากมีเออีซี แล้วค่อยออกกฎหมายรับรองซึ่งไม่รู้ว่าจะต้องรอไปอีกกี่ปี” เลขาธิการสมาพันธ์ฯรัฐวิสาหกิจ กล่าว
ขณะที่นายทิม เดอ เมเยอร์ ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ไอแอลโอ) กล่าวถึงความสำคัญของอนุสัญญา 87/89 ว่าเป็นหัวใจของไอแอลโอ ซึ่งเน้นชีวิตความเป็นอยู่ สิทธิ เสรีภาพ ความยุติธรรมทางสังคม และความมั่นคง ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องหากลไกลมาบังคับให้ใช้ได้เป็นรูปธรรม เพื่อสร้างทุน สร้างงาน และสร้างจุดประนีประนอมระหว่างลูกจ้างนายจ้าง โดยเฉพาะสังคมไทยต้องหาความยุติธรรมซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีความเท่าเทียม จากรายงานของธนาคารเพื่อการพัฒนา ในภูมิภาคเอเชีย เห็นว่าความไม่เท่าเทียมเกิดขึ้นและไม่สามารถควบคุมได้ แม้ประเทศไทยไม่อยู่ในจุดที่รุนแรงเท่าประเทศอินเดีย จีนแต่ก็น่าเป็นอันตรายเพราะไม่สามารถทำให้การรวมของลูกจ้างนายจ้างรวมกันได้ ไม่สามารถตรวจสอบการทำงานและกระบวกการพัฒนาของสังคม ไม่สามารถนำมาสู่แนวทางประชานิยมได้
“สังคมจะเท่าเทียมต้องมีเรื่องนโยบายค่าแรง (รายได้)และความมั่นคง(สวัสดิการ)ที่ออกมาให้ผู้ใช้แรงงานได้ประโยชน์ ทั้งสองนี้ล้วนเป็นที่มาเรื่องสิทธิในการต่อรอง ซึ่งแม้ว่านโยบายค่าจ้างขั้นต่ำจะออกมาแต่ก็ไม่ได้ช่วยเรื่องสิทธิในการต่อรอง เป็นการตอบสนองเพิ่มศักยภาพในการซื้อขายเพียงด้านเดียวขาดความมั่นคง สิ่งนี้ไม่ทำให้เกิดความยั่งยืนทางเศรษฐกิจได้” ผู้เชี่ยวชาญไอแอลโอ กล่าว
ส่วนนายชฤทธิ์ มีสิทธิ์ นักวิชาการกฎหมายแรงงาน กล่าวว่า การออกกฎหมายต้องให้สอดคล้องความเป็นจริง รูปแบบการจ้างงาน การผลิตเป็นห่วงโซ่ แรงงานทุกส่วนมีบทบาทในกระบวนการผลิต จึงต้องให้คุณค่าแรงงานทุกหน่วยทำการผลิต ควรพิจารณาอนุสัญญาและกติกาพื้นฐานไอแอลโอว่าด้วยเศรษฐกิจนอกระบบ หลักการทำงานที่มีคุณค่า ถ้าหากปราศจากการรวมตัวและการต่อรองร่วม ขาดกระบวนการขับเคลื่อน ขาดการรวมตัวก็เป็นปัญหา ปัจจุบันเชื่อว่ารัฐไม่มีเครื่องมือไม่มีบุคลากรที่จะเข้ามาตรวจสอบคุ้มครองแรงงานเครื่องมือที่ดีที่สุดคือรัฐต้องส่งเสริมให้แรงงานรวมตัว เพราะการรวมจึงจะพัฒนาอาชีพได้
“กฎหมายแรงงานสัมพันธ์ที่มีอยู่เป็นกฎหมายที่เข้ามาควบคุมไม่ใช่กฎหมายส่งเสริมความเข้มแข็ง เป็นการควบคุมตามที่รัฐบาลพึงพอใจภายใต้ระเบียบกฎหมาย หากจะนำอนุสัญญา87/98 ใส่เจตนารมณ์ไปด้วยในกฎหมายแรงงานไทยต้องเปลี่ยนให้ครอบคลุมสวัสดิการ สิทธิแรงงาน การจ้างงาน การจัดตั้งองค์กรอย่างเสรี กระบวนการยุติธรรม อาจต้องถามว่าศาลมองความเหลื่อมล้ำในสังคมอย่างไร โดยเฉพาะความยุติธรรมในมิติใหม่ ความเที่ยงธรรมอยู่ไหน แรงงานที่ทำงานไม่มีความสุขจะทำยังไง” นักวิชาการกฎหมายแรงงาน กล่าว
นายชัยสิทธิ์ สุขสมบูรณ์ คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย กล่าวว่า กฎหมายแรงงานมีไว้เพื่อบังคับและควบคุม เพิ่มอำนาจให้กับรัฐบาลมากำกับคนงาน การมองกฎหมายจะต้องมองในมิติพัฒนาคุณภาพชีวิต ต้องมีการร่วมกำหนดร่างกฎหมายระหว่างนายจ้างลูกจ้างด้วยกัน เพื่อระงับข้อพิพาท ซึ่งเหมือนเปลี่ยนความสัมพันธ์แบบไพร่ให้เป็นผู้มีหุ้นส่วนในการทำงานดังนี้ 1.ออกกฎหมายให้สอดคล้องกับอนุสัญญา 2. เปลี่ยนความสัมพันธ์ด้วยการให้คำนิยามลูกจ้างว่า“คนทำงาน”เรียกนายจ้างว่า“ผู้จ้างงาน” 3.สร้างกระบวนการแรงงานสัมพันธ์ให้เกิดความเป็นธรรมไม่ใช่การควบคุม 4.ส่งเสริมและพัฒนาให้องค์กรแรงงานมีความเข้มแข็งในร่างฯขององค์กรแรงงาน ซึ่งจะมีการดำเนินการในวันแรงงานสากลวันที่ 1 พ.ค.ที่จะถึงนี้” คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย กล่าว