“กมธ.ปกครอง” ชี้ปฏิรูปโครงสร้างอำนาจต้องกระจายอำนาจควบคู่กับงบประมาณ
สถาบันพระปกเกล้า ชี้แนวทางปฏิรูปโครงสร้างอำนาจของ คปร. ขาดหลักวิชาการ ประเด็นการกระจายอำนาจแนวราบ และบทบาทของราชการส่วนภูมิภาค ขณะที่ "ชัย ชิดชอบ" ยื้อข้อเสนอยังไม่ละเอียดพอ ขอศึกษาต่อ ก่อนเสนอเข้าสภา
วันที่ 26 เมษายน คณะกรรมาธิการการปกครอง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีการประชุมพิจารณาศึกษาแนวทางการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ โดยการกระจายอำนาจจากส่วนกลางไปสู่ท้องถิ่น รวมถึงการจัดสรรอำนาจใหม่ ระหว่างราชการกับองค์กรชุมชนภาคประชาสังคม ตามการเสนอของนายอานันท์ ปันยารชุน ประธานกรรมการปฏิรูป และคณะกรรมการปฏิรูป
ทั้งนี้ หลังจากที่คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาแนวทางการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ ตามข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) ได้มีการประชุมและพิจารณาศึกษาแล้ว พบว่า การศึกษาแนวทางการปฏิรูปโครงสร้างของ คปร. ไม่มีเอกสารทางวิชาการและผลงานการวิจัยมารองรับ เป็นการบรรยายเชิงความคิดเห็นหรือเป็นแนวความคิด จึงมีมติมอบหมายให้สถาบันพระปกเกล้า ดำเนินการพิจารณาศึกษาแนวทางการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจตามข้อเสนอของ คปร. โดยให้จัดทำเป็นบทวิพากย์ วิเคราะห์ ข้อดี ข้อเสีย ปัญหา ผลกระทบ และการแก้ไข ตามข้อเสนอแนวทางการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจฯ
โดย ผศ.ดร.ศุภสวัสดิ์ ชัชวาล อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมชาติ หนึ่งในผู้ทำการศึกษา กล่าวถึงผลการสังเคราะห์ข้อมูลและงานวิชาการเกี่ยวกับข้องกับข้อเสนอของทาง คปร. สามารถสรุปได้ว่า ข้อเสนอของ คปร. ในประเด็นต่างๆ มีทั้งที่สอดคล้องกับข้อมูลและผลการศึกษาทางวิชาการที่เกี่ยวข้อง ในขณะที่ข้อเสนอบางประการก็เป็นแนวคิดริเริ่มที่ไม่ปรากฏในงานวิชาการอย่างชัดเจน ได้แก่ ประเด็นเกี่ยวกับการกระจายอำนาจแนวราบ และบทบาทของราชการส่วนภูมิภาค
ทั้งนี้ ทางผู้ทำการศึกษาได้มีข้อเสนอ 7 ประการ เกี่ยวกับแนวทางในการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ โดยการกระจายอำนาจจากส่วนกลางไปสู่ท้องถิ่น และการจัดสรรอำนาจใหม่ระหว่างราชการกับองค์กรชุมชน/ภาคประชาสังคม ตามข้อเสนอของ คปร. ดังนี้
1.ประเด็นเกี่ยวกับการกระจายอำนาจจากส่วนกลางไปสู่ท้องถิ่น โดยการปฏิรูปโครงสร้างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีการสอดรับกับข้อเท็จจริงของชุมชนปัจจุบัน
2.ประเด็นเกี่ยวกับบทบาทของราชการส่วนภูมิภาค ซึ่งต้องมีการปรับปรุงบทบาทของราชการส่วนภูมิภาค โดยต้องมีการถ่ายโอนอำนาจจากส่วนกลางอย่างจริงจัง และควรเปลี่ยนบทบาทให้เป็นผู้ส่งเสริม สนับสนุนให้เกิดความร่วมมือระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
3.ประเด็นเกี่ยวกับรูปแบบการบริหารจัดการและการปกครองท้องถิ่น โดยให้ องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) และเทศบาล มีอำนาจมากขึ้นและทำงานที่จำเป็นที่สุดที่ทำได้ และหากงานใดทำไม่ได้ก็ให้เป็นหน้าที่ของ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ที่มีอำนาจมากกว่า และที่สำคัญควรยุบรวม อบต. เล็กๆ ที่มีมากกว่า 7,000 แห่งทั่วประเทศให้เป็นเทศบาล
4.ประเด็นเกี่ยวกับขอบเขตอำนาจของการปกครองส่วนท้องถิ่น ควรส่งเสริมบทบาทการของภาคประชาสังคมในกระบวนการบริหารกิจการสาธารณะของท้องถิ่นในด้านต่างๆ
5.ประเด็นเกี่ยวกับกาเสริมอำนาจในการบริหารจัดการท้องถิ่น รัฐบาลควรสนับสนุนให้ท้องถิ่นมีอนาจในการบริหารจัดการตนเองได้ดีขึ้น โดยเฉพาะอำนาจทางการคลัง ลารบริหารจัดการบุคลากร
6.ประเด็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในการบริหารจัดการท้องถิ่น ควรกำหนดเป้าหมายว่าในอนาคตราชการส่วนภูมิภาคจะมีหน้าที่เพียงการกำกับดูแลและการจัดการภารกิจที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่สามารถดำเนินการด้วยตนเองได้เท่านั้น
7.ประเด็นเกี่ยวกับการส่งเสริมบทบาทของภาคประชาสังคมและชุมชน ต้องทำให้ประชาชนเข้ามาเป็นเครือข่ายของ องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ซึ่งจะสอดคล้องกับข้อเสนอของทาง คปร. ในส่วนที่ว่าประชาชนมีบทบาทจำกัด
นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ทางคณะกรรมาธิการฯ ได้เพิ่มเติมความเห็นเกี่ยวกับปัญหาพื้นที่ซับซ้อน ระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีจำนวนกว่า 7 พันกว่าแห่งว่า ควรมีการยุบรวม และเสริมสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบต่างๆนั้นให้มีความเข้มแข็งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ทางคณะกรรมาธิการ มีความเห็นเกี่ยวกับการจัดสรรพิจารณางบประมาณ ว่า ที่ผ่านมาเป็นการกระจายอำนาจเพียงโครงสร้างเท่านั้น ไม่ใช่การกระจายงบประมาณเพื่อความเป็นธรรมสู่ท้องถิ่น ฉะนั้น ทั้งสองอย่างควรต้องทำไปควบคู่กัน
"ชัย" ชี้ปฏิรูปโครงสร้างอำนาจดีกว่าการแก้รธน.
ด้านนายชัย ชิดชอบ ประธาน กมธ.การปกครอง กล่าวว่า จากข้อเสนอที่สถาบันพระปกเกล้าได้ทำการศึกษามานั้นยังไม่ละเอียดพอที่จะเสนอต่อสภา จึงขอให้ทางสถาบันพระปกเกล้าได้ทำการศึกษาต่อจากข้อเสนอทั้ง 7 ประการให้มีความละเอียดยิ่งขึ้น อาทิเช่น ในส่วนของการจัดสรรอำนาจนั้น ควรต้องจัดในรูปแบบใด เหล่านี้ควรต้องมีการศึกษาต่ออย่างละเอียด และให้เห็นเป็นรูปธรรม
“เรื่องนี้เป็นเรื่องของการแก้ไขปัญหาของชาติที่ดีกว่าการพิจารณาแก้กฎหมายรัฐธรรมนูญที่กำลังทำอยู่ เพราะถ้าไม่ได้ฐานของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยก่อนทำไปก็ไม่มีประโยชน์ และต้องให้ความสำคัญกับเรื่องที่ใหญ่ที่สุดคือระบบการเงิน งบประมาณของประเทศ ฉะนั้นการทำงานของคณะกรรมาธิการการปกครองต้องทำงานอย่างรอบคอบ”
ประธาน กมธ.การปกครอง กล่าวด้วยว่า หลังจากที่ทางสถาบันพระปกเกล้าได้ทำการศึกษาต่อแล้วนั้น จะได้มีการเชิญอธิบดีกรมส่วนท้องถิ่น และอธิบดีกรมการปกครอง และกระทรวงมหาดไทย มาร่วมประชุมในวันพิจารณาครั้งต่อไป ก่อนที่จะสรุปส่งเข้าสภาฯ
