อานิสงส์ บิ๊กตู่ประกาศปราบทุจริต! เปิดมุมมองป.ป.ช.ต่อดัชนีคอร์รัปชันไทยปี60ไต่ขึ้น 96
"...การที่ได้คะแนนสูงขึ้น น่าจะเป็นผลมาจากการประกาศจุดยืนของนายกรัฐมนตรีในการปราบปรามการทุจริต การเปิดทำการของของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษอย่างเป็นทางการ และประสิทธิภาพของการบังคับใช้พระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม เพื่อให้เข้าถึงความยุติธรรมอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน..."
นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงว่าเมื่อคืนวันที่ 21 ก.พ. 2561 องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International หรือ TI) ได้ประกาศค่าคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) ปี 2560 ปรากฎว่า 2 ใน 3 จาก 180 ประเทศทั่วโลก ได้คะแนนต่ำกว่า 50 คะแนน โดยประเทศที่ได้อันดับความโปร่งใสสูงสุดคือนิวซีแลนด์ 89 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 สำหรับไทยได้ 37 คะแนน ดีขึ้นกว่าปีก่อน 2 คะแนน ขยับจากที่ 101 ขึ้นไปอยู่ที่ 96 จาก 180 ประเทศ
ในการให้ค่าคะแนน CPI ปี 2560 องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (TI) ให้คะแนนและจัดอันดับประเทศไทย โดยพิจารณาข้อมูลจากแหล่งข้อมูล 9 แหล่งข้อมูล ซึ่งไทยได้คะแนนเท่าเดิม 2 แหล่ง คะแนนเพิ่มขึ้น 3 แหล่ง คะแนนลดลง 3 แหล่ง และอีก 1 แหล่งไม่ปรากฏคะแนน ดังนี้
1. แหล่งข้อมูลที่ไทย ได้คะแนนเท่ากับปีก่อน มี 2 แหล่งข้อมูล คือ
1.1 International Country Risk Guide (ICRG) : Political Risk services ได้ 32 คะแนน โดย ICRG เป็นองค์กรแสวงหากำไร ให้บริการวิเคราะห์วิจัยและจัดอันดับสภาวะความเสี่ยงระดับประเทศ ประเมินความเสี่ยงด้านการเมือง ด้านเศรษฐกิจ และด้านการเงิน ซึ่งองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ ใช้ข้อมูลรายงานความเสี่ยงด้านการเมือง มาประกอบการพิจารณาให้ค่าคะแนน ทั้งนี้ การคอร์รัปชันเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงด้านการเมือง ICRG มุ่งประเมินการคอร์รัปชันในระบบการเมือง โดยเฉพาะรูปแบบทุจริต ที่นักธุรกิจมีประสบการณ์ตรงและพบมากที่สุด นั่นคือการเรียกรับสินบน การเรียกรับเงินเพื่ออำนวยความสะดวกในการนำเข้า/ส่งออก การประเมินภาษี รวมถึงระบบอุปถัมภ์ ความสัมพันธ์ใกล้ชิดทางธุรกิจกับการเมือง โดย ICRG มีการประเมินและเผยแพร่ผลประมาณเดือนสิงหาคมของทุกปี
คะแนนที่เท่าเดิม น่าจะเป็นผลมาจาก ICRG เน้นความเป็นประชาธิปไตย รัฐบาลและฝ่ายบริหารต้องสามารถถูกตรวจสอบได้ ซึ่งประเทศไทยยังมีข้อจำกัดในเรื่องนี้เหมือนปีที่ผ่านมา
1.2 Economist intelligence Unit (EIU) : Country Risk Rating ได้ 37 คะแนน โดย EIU วิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับความเสี่ยงที่ระบบเศรษฐกิจของประเทศต้องเผชิญ ได้แก่ ความโปร่งใสในการจัดสรรและการใช้จ่ายงบประมาณ การใช้ทรัพยากรของราชการ/ส่วนรวม การแต่งตั้งข้าราชการจากรัฐบาลโดยตรง มีหน่วยงานอิสระในการตรวจสอบการจัดการงบประมาณของหน่วยงานนั้นๆ มีหน่วยงานอิสระ ด้านยุติธรรมตรวจสอบผู้บริหาร/ผู้ใช้อำนาจ ธรรมเนียมการให้สินบน เพื่อให้ได้สัญญาสัมปทานจากหน่วยงานของรัฐ ทั้งนี้ EIU มีการสำรวจเก็บข้อมูลประมาณเดือนกันยายนของทุกปี
คะแนนที่เท่าเดิม น่าจะเป็นผลมาจากว่าถึงแม้ไทยจะได้รับการจัดอันดับการเปิดเผยงบประมาณภาครัฐดีขึ้น แต่ด้านการใช้จ่ายงบประมาณยังปรากฎเกี่ยวกับปัญหาการใช้จ่ายงบประมาณไม่ถูกต้องอยู่เป็นระยะ
2. แหล่งข้อมูลที่ไทย ได้คะแนนเพิ่มขึ้นจากปีก่อน มี 3 แหล่งข้อมูล คือ
2.1 World Economic Forum (WEF) : Executive Opinion Servey ได้ 42 คะแนน (เพิ่มขึ้น 5 คะแนน) โดย WEF สำรวจมุมมองของนักธุรกิจที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยเกี่ยวกับปัจจัยที่เป็นอุปสรรคสูงสุดในการทำธุรกิจ 5 ด้าน คือ 1.การคอร์รัปชัน 2.ความไม่มั่นคงของรัฐบาล/ปฏิวัติ 3.ความไม่แน่นอนด้านนโยบาย 4.ระบบราชการที่ไม่มีประสิทธิภาพ 5.โครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคที่ไม่เพียงพอว่าแต่ละปัจจัยเป็นอุปสรรคเพิ่มขึ้น เท่าเดิมหรือลดลง ทั้งนี้ WEF จะสำรวจข้อมูลประมาณเดือนมกราคม – มิถุนายน ของทุกปี
คะแนนที่เพิ่มขึ้น น่าจะเป็นผลมาจากอียู มีความสนใจฟื้นความสัมพันธ์กับไทย เนื่องจากเห็นว่าไทยมีทิศทางปรับตัวในทางที่ดีขึ้นหลายด้าน นักลงทุนต่างชาติมีทัศนคติดีขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องการติดต่อกับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวกับการนำเข้าส่งออก สาธารณูปโภค การชำระภาษี การทำสัญญาและการออกใบอนุญาต มีการลดขั้นตอนลง การเรียกรับเงินพิเศษจากผู้มาติดต่อขอรับบริการที่มีจำนวนลดลง ส่งผลให้ WEF จัดอันดับ ขีดความสามารถในการแข่งขันไทยได้คะแนน 4.72 (จากเดิม 4.64) ขึ้นมาอยู่อันดับที่ 32 (จากเดิมที่ 34) นอกจากนี้ จากการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารเกี่ยวกับ “ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคหรือปัญหามากที่สุดต่อการทำธุรกิจ” ปี 2560 ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนร้อยละ 10.1 เห็นว่าปัญหาคอร์รัปชันเป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจลดลงจากปี 2559 ที่ร้อยละ 11.3
2.2 World Justice Project (WJP) : Rule of Law Index ได้ 40 คะแนน (เพิ่มขึ้น 3 คะแนน) โดย WJP ประเมินค่าความโปร่งใสโดยใช้หลักนิติรัฐ ซึ่งมีหลักการสำคัญ 4 ประการ คือ 1.รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐต้องอยู่ภายใต้กฎหมายและถูกตรวจสอบได้ 2.กฎหมายต้องเปิดเผย ชัดเจน มั่นคง ปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน 3.กระบวนการทางกฎหมายมีความเป็นธรรม มีประสิทธิภาพ 4.การตัดสินคดีต้องมีความเป็นธรรม มีจริยธรรม มีความเป็นกลาง ทั้งนี้ WJP มีการเก็บข้อมูลประมาณเดือนพฤษภาคม - กันยายนของทุกปี
การที่ได้คะแนนสูงขึ้น น่าจะเป็นผลมาจากการประกาศจุดยืนของนายกรัฐมนตรีในการปราบปรามการทุจริต การเปิดทำการของของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษอย่างเป็นทางการ และประสิทธิภาพของการบังคับใช้พระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม เพื่อให้เข้าถึงความยุติธรรมอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน
2.3 Global Insight Country Risk Rating (GI) ได้ 35 คะแนน (เพิ่มขึ้น 13 คะแนน) โดย GI ประเมินปัจจัยเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจที่ต้องเกี่ยวกับคอร์รัปชัน การแทรกแซงของเจ้าหน้าที่รัฐในการดำเนินธุรกิจ การให้สินบนและสิ่งตอบแทนสำหรับพิจารณาสัญญาและขอใบอนุญาต คะแนนที่เพิ่มขึ้น น่าจะเป็นผลมาจากมุมมองและความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจต่อการแก้ไขปัญหาการทุจริตของรัฐดีขึ้น สถานการณ์ภายในประเทศเอื้ออำนวยต่อการลงทุน สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนและบริษัทข้ามชาติด้วยหลายแนวทาง ได้แก่ การออกคู่มือมาตรการควบคุมภายในของนิติบุคคล ตามมาตรา 123/5 การออกมาตรการป้องกันการทุจริตในกระบวนการเบิกจ่ายยาตามสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาล เป็นต้น
3. แหล่งข้อมูลที่ไทย ได้คะแนนลดลงกว่าปีก่อนมี 3 แหล่งข้อมูล คือ
3.1 Bertelsmann Foundation Transformation Index (BF) ได้ 37 คะแนน (ลดลง 3 คะแนน) โดย BF-BTI ใช้ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์และประเมินกระบวนการเปลี่ยนแปลงไปสู่ประชาธิปไตยและระบบเศรษฐกิจแบบตลาดเสรี และดูความเปลี่ยนแปลง 3 ด้าน คือ 1.ด้านการเมือง 2.ด้านเศรษฐกิจ
3.ด้านการจัดการของรัฐบาล ทั้งนี้ BF-BTI จะมีการเผยแพร่ผลทุก 2 ปี และข้อมูลที่เผยแพร่ครั้งล่าสุด คือ 1 ก.พ. 2558 – 31 ม.ค. 2560 คะแนนที่ลดลง น่าจะเป็นผลมาจาก BF-BTI วิเคราะห์กระบวนการทางการเมืองเป็นหลัก โดยแม้ว่ารัฐบาลสร้างความมั่นคง ความสงบเรียบร้อย จัดระเบียบสังคม ทวงคืนทรัพยากรธรรมชาติได้ผลดี แต่ขณะเดียวกันเรื่องการตรวจสอบกรณีที่เกี่ยวข้องกับบุคคลในรัฐบาล การเปิดเผยความคืบหน้าการดำเนินคดี การจำกัดสิทธิสื่อมวลชน การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน ยังเป็นจุดอ่อน
3.2 International Institute Management Development (IMD) : World Competitiveness Yearbook ได้ 43 คะแนน (ลดลง 1 คะแนน) โดย IMD นำข้อมูลสถิติทุติยภูมิและผลการสำรวจความคิดเห็นผู้บริหารระดับสูง ไปประมวลผลจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย และพิจารณาจาก 4 องค์ประกอบ คือ 1.สมรรถนะทางเศรษฐกิจ 2.ประสิทธิภาพของภาครัฐ 3.ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ 4.โครงสร้างพื้นฐาน ทั้งนี้ IMD จะสำรวจข้อมูลประมาณเดือนมกราคม - เมษายนของทุกปี
คะแนนที่ลดลง น่าจะเป็นผลมาจากการแก้กฎหมายหลายฉบับ แต่การบังคับใช้ยังขาดประสิทธิภาพ เช่น พระราชบัญญัติอำนวยความสะดวกในการพิจารณาของทางราชการ เป็นต้น
3.3 Varieties of Democracy Project (V-DEM) ได้ 23 คะแนน (ลดลง 1 คะแนน) โดย V-DEM วัดเกี่ยวกับความหลากหลายของประชาธิปไตย การถ่วงดุลของฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ตลอดจนการทุจริตของเจ้าหน้าที่ในฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ซึ่งในปี 2559 มีการวัดในอาเซียนเพียง 4 ประเทศ แต่ในปี 2560 มีการวัดในอาเซียน 10 ประเทศ
คะแนนที่ลดลง น่าจะเป็นผลมาจากสถานการณ์ใกล้เคียงกับปีที่มา แต่ยังคงมีจุดอ่อนด้านการถ่วงดุลของฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ
สำหรับแหล่งข้อมูล Political and Economic Risk Consultancy (PERC) ซึ่งเป็นการสำรวจนักธุรกิจในท้องถิ่นและนักธุรกิจชาวต่างชาติในแต่ละประเทศ เพื่อให้คะแนนเกี่ยวกับระดับปัญหาการทุจริตในประเทศที่เข้าไปทำงานหรือประกอบธุรกิจว่าลดลง เพิ่มขึ้น หรือเท่าเดิมนั้น ไม่ปรากฏข้อมูลว่า TI ให้คะแนนไทยจากแหล่งนี้เท่าใด
ดังนั้น ในการดำเนินการเพื่อเพิ่มค่าดัชนีการรับรู้การทุจริตและการลดปัญหาการทุจริต จำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกภาคส่วนในสังคมต้องรวมพลังกันสร้างสังคมที่ไม่ทนกับการทุจริต สร้างค่านิยมสุจริต ขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายเดียวกัน “ประเทศไทยใสสะอาด ไทยทั้งชาติต้านทุจริต”
จึงแถลงมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน
..................................................................