สหวิริยาฯ แพ้คดีรุกป่าสงวนแห่งชาติ จ.ประจวบคีรีขันธ์
ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษา ยกฟ้อง ในคดีที่ บมจ.สหวิริยาสตีลอินดัสตรี ร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งที่ไม่ให้ บริษัทฯ งดเว้นการกระทำใดๆ และออกจากป่าสงวนแห่งชาติ ป่าคลองแม่รำพึง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 20 กุมภาพันธ์ ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษา นัดพิจารณาคดีหมายเลขดำที่ 734/2554 ระหว่าง บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) ที่ 1 กับพวก รวม 8 คน กับ นายอำเภอสะพาน ที่ 1 กับพวก รวม 3 คน ผู้ถูกฟ้องคดี
คดีนี้ผู้ฟ้องคดีทั้งแปดฟ้องว่า คำสั่งของนายอำเภอบางสะพาน (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) ที่ให้ผู้ฟ้องคดีทั้งแปดงดเว้นการกระทำใดๆ และให้ออกจากป่าสงวนแห่งชาติ ป่าคลองแม่รำพึง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) ที่ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีทั้งแปด ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำสั่งและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าว
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ไม่ปรากฏว่ามีบุคคลใดครอบครองและทำประโยชน์ ในที่ดินบริเวณนี้ที่ปรากฏตัวตนชัดเจนก่อนวันที่ พ.ร.ฎ. กำหนดป่าคลองแม่รำพึงให้เป็นป่าคุ้มครองฯ มีผลใช้บังคับ เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2484 ดังนั้น ที่ดินภายในแนวเขตแผนที่ท้าย พ.ร.ฎ. จึงเป็นเขตป่าคุ้มครองตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2484 เป็นต้นมา หลังจากนั้น เมื่อ พ.ร.บ. ให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2497 ก็ไม่ปรากฏว่ามีบุคคลใดแจ้งการครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินบริเวณพิพาทที่อยู่นอกแนวเขตแผนที่ท้าย พ.ร.ฎ. ต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1
ทั้งไม่ปรากฏว่ามีบุคคลใดที่ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินบริเวณดังกล่าว มานำหรือส่งตัวแทนมานำพนักงานเจ้าหน้าที่ทำการสำรวจรังวัดที่ดินในการเดินสำรวจรังวัดเพื่อออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน ซึ่งต่อมาเมื่อมีการออกกฎกระทรวง ฉบับที่ 165 (พ.ศ.2509)ฯ กำหนดให้ป่าคลองแม่รำพึงภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายกฎกระทรวงฯ เป็นป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2510 จึงมีผลให้ที่ดินในแนวเขตตามแผนที่ท้ายกฎกระทรวงฯ ซึ่งมีเขตพื้นที่ครอบคลุมทับที่ดินในแนวเขตป่าคุ้มครองเดิมตามแผนที่ท้าย พ.ร.ฎ. กลายเป็นป่าสงวนแห่งชาติตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2510 เป็นต้นมา อันเป็นที่ดินมีลักษณะต้องห้ามมิให้ออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินทุกประเภท
ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สาขาบางสะพาน ได้ออก น.ส. 3 ก. ทั้ง 52 ฉบับ ให้แก่บุคคลที่ไม่สามารถออก น.ส. 3 ก. ให้ได้ และยังเป็นการออก น.ส. 3 ก. ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ น.ส. 3 ก. ดังกล่าว จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเมื่ออธิบดีกรมที่ดินได้ออกคำสั่งเพิกถอนและให้แก้ไขเนื้อที่ใน น.ส. 3 ก. จำนวน 52 ฉบับ ของผู้ฟ้องคดีทั้งแปดแล้ว การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้อาศัยข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานและคำสั่งอธิบดีกรมที่ดินดังกล่าว แล้วนำมาใช้เป็นเหตุผลในการออกคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีทั้งแปดงดเว้นการกระทำใดๆ ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และให้ออกจากป่าสงวนแห่งชาติ ป่าคลองแม่รำพึง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ คำสั่งดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมาย อันมีผลให้คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ที่ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีทั้งแปดชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน
ศาลปกครองกลางพิพากษายกฟ้อง