โฆษกกรมอุทยานฯยกเคสเปรมชัย บทเรียนจัดพื้นที่ป่าเพื่อการท่องเที่ยวใหม่
โฆษกกรมอุทยานฯ ยกกรณีเปรมชัย บทเรียนการเปิดพื้นที่เข้าศึกษา ท่องเที่ยวธรรมชาติ ชี้ไม่ใช่ทุกแห่งเข้าได้ เตรียมพิจารณาใหม่ ด้านศศิน แนะลดปัญหาล่าสัตว์ ต้องแก้ทั้งระบบ ตั้งแต่งานลาดตระเวน หัวหน้าบังคับบัญชา กำลังใจผู้พิทักษ์ป่า
เมื่อวันที่ 18 ก.พ.61 บนเวทีเสวนาเรื่อง "การอนุรักษ์สัตว์ป่า สิ่งแวดล้อม และความสำคัญของกองทุนพิทักษ์ป่า” จัดโดย มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ที่หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร
นายสมโภชน์มณีรัตน์ หัวหน้ากลุ่มพัฒนาระบบบริหาร โฆษกประจำกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าวถึงประเด็นเสือดำกับการเข้าป่าล่าสตัว์ของนายเปรมชัย กรรณสูต ว่า ต่อจากนี้ต้องมีการคิดพื้นที่ในการเปิดเพื่อการท่องเที่ยว พื้นที่แบบไหนเปิดให้ศึกษาได้ โดยต้องกลับมาดูส่วนหนึ่งคือการแก้ไขทางกฎหมายซึ่งกำลังมีการทำกันอยู่ และในอีกหลายๆ ที่ที่เป็นจุดเปราะบาง ไม่สามารถเข้าได้ก็จำเป็นว่าต้องปิดไม่ให้มีการเข้าไปไม่ว่ากรณีใด ส่วนจุดที่เปิดก็ต้องมีมาตรฐานมากขึ้น
ส่วนประเด็นคนอยู่กับป่านั้น นายสมโภชน์ กล่าวว่า ไม่ใช่ทุกคนจะอยู่กับป่าได้ เช่นเดียวกันป่าตรงไหนอยู่ได้ ตรงไหนอยู่ไม่ได้ เกิดประเด็นว่า หลายๆ ที่ไม่ควรเปิดให้การท่องเที่ยว การเตรียมรับไม่พร้อม เปราะบาง หากระบบนิเวศหนึ่งที่หายไปแล้ว จะให้ความสมดุลกลับมายากมาก ณ วันนี้ ช่วยกันรักษาสิ่งนี้ให้ได้เสียก่อน ทำอย่างไร รักษาให้ได้ อันนี้เป็นโจทย์
นอกจากนี้นายสมโภชน์ กล่าวด้วยว่าช่วงที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่โดนโจมตีว่าบกพร่องในหน้าที่ปล่อยให้คณะเปรมชัยเข้า หรือข้อโจมตีเรื่องไม่เก็บเงินบ้าง เรื่องนี้ถูกเบี่ยงประเด็นไป เพราะอย่าลืมว่าเจ้าหน้าที่อุทยานไม่ใช่คนบังคับกฎหมาย แต่เป็นหน่วยที่บริการประชาชน
นายสมโภชน์ กล่าวด้วยว่า เวลาพูดเรื่องการอนุรักษ์ ไม่ได้หมายถึงสัตว์ตัวใดตัวหนึ่ง แต่ต้องดูแลความสมดุลของป่าทั้งป่า ทำอย่างไรที่ความสมดุลจะเกิดขึ้น และเวลาเห็นสัตว์ผู้ล่าล่าเหยื่อ ถ้าเป็นไปกลไกตามธรรมชาติเราไม่ต้องเอาความเมตตาใจดีเข้าไปช่วย เพราะกลไกธรรมชาติรักษากันเอง เราต้องปล่อยไป อย่างเอามือไปแหย่ ส่วนการเข้าไปล่าสัตว์นั้นของนายเปรมชัยนั้น เจ้าหน้าที่เก่งที่จับกุมได้ กรมทำกับคดีนี้ค่อนข้างเข้มในเรื่องพยานหลักฐาน หวังว่า จะทำให้ดีที่สุดภายใต้ขั้นตอนกระบวนการยุติธรรม เราจับกุม ร้องทุกข์ หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจะสืบสวนเอง เราก้าวล่วงไม่ได้
ด้านนายศศิน เฉลิมลาภ ประธานมูลนิธิสืบฯ กล่าวว่า ถ้าจะไม่ให้เกิดการล่าสัตว์ป่าเลย ต้องทำครบทุกมิติ คนที่อยู่กับป่ามีคนชำนาญในพื้นที่ สิ่งที่ต้องทำคือ รัฐต้องทำงานกับชุมชน ดึงให้พวกเขามาเป็นพวกเดียวกันในงานพิทักษ์ป่า เพื่อตัดวงจรผิดกฎหมายออกไป
ประเด็นที่สอง ประธานมูลนิธิสืบฯ กล่าวว่าต้องพัฒนาการลาดตระเวนเชิงคุณภาพมากขึ้น สร้างกฎกติการ่วมกันกับชาวบ้านในพื้นที่ เวลามีอะไรไม่ชอบมาพากล จะได้มีสายรายงาน ส่วนประเด็นที่สาม ทำให้ผู้พิทักษ์ป่า ทำงานอย่างที่ศักดิ์ศรี มีกำลังใจ หน่วยงานรัฐให้ใจใส่ สร้างพื้นที่ให้เกิดการรับรู้ของสาธารณชน และสิ่งสำคัญ หัวหน้าอุทยานแบบวิเชียรมีกี่เปอร์เซ็นในบ้านเรา ต้องมีการสร้าง
“ซึ่งหัวหน้ารุ่นใหม่ที่เข้ามาจะเป็นหัวหน้าที่ดี ต้องตัดเงินซื้อขายตำแหน่ง เช่นเป็นหัวหน้าอุทยาน กรมป่าไม้ที่ผ่านมามีการซื้อขายตำแหน่ง จ่ายเงิน สื่อต้องขุด ต้องรู้ว่า หัวหน้ากรมอุทยาน กรมป่าไม้เป็นใคร ต้องไปเจาะ ใครเป็นรมต.กระทรวงทรัพย์ฯ มาจากไหนมีสายสัมพันธ์อย่างไรบ้าง มีผลประโยชน์ทับซ้อนใหม่ ถ้าทำทั้งระบบได้ สัตว์ป่าอยู่กับป่า เราได้คัดเลือกรมต.ที่เราไว้ใจ หัวหน้าที่สุจริตใจ คนที่ทำงานพิทักษ์ป่าก็สามารถทำได้เต็มที่” นายศศินกล่าวและว่า ประเด็นเรื่องจะไปกดดันต้องจับเปรมชัย เป็นเรื่องที่เกินไปเพราะกำลังละเมิดอำนาจศาล สิ่งที่เราต้องทำคือการติดตามว่าการดำเนินคดีนี้เป็นยังไงไปถึงแล้ว ซึ่งแน่นอนว่ากว่าอัยการจะสั่งฟ้อง กว่าจะขึ้นศาลชั้นต้นกระบวนการเป็นปี และนายเปรมชัยมีสิทธิในการต่อสู้ทางคดี อาจยื่นอุทธรณ์ไปขนถึงศาลฎีกา ซึ่งก็เป็นสิทธิของเขาที่ทำได้