เครือข่าย ปชช ร้องความเป็นธรรม 300 โครงการรับงบ สสส.ถูกเรียกภาษีย้อนหลัง 6 เท่า
เครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพภาคประชาชน ยื่นจดหมายถึง อธิบดีกรมสรรพากร ขอความเป็นธรรม กรณีเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง 6 เท่า โครงการใต้งบ สสส. 300 โครงการ จี้หาข้อยุติ เตรียมยื่นนายกฯ ร้องศาลปกครองออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว พร้อมแจ้งดำเนินคดีอาญา ม.157 ด้านตัวแทนยันทำงานเพื่อสังคมไม่ใช่การแสงหากำไร
เมื่อวันที่ 7 ก.พ.61 ที่กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง นายคำรณ ชูเดชา ผู้ประสานงานขบวนการสร้างเสริมสุขภาพภาคประชาชน (ขสข.) นำตัวแทนองค์กร และบุคคลที่ดำเนินโครงการ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) กว่า 30 คน เข้ายื่นจดหมายเปิดผนึกถึง นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร เพื่อร้องขอความเป็นธรรม กรณีสรรพกรพื้นที่มีหนังสือเรียกเก็บภาษีย้อนหลังอย่างไม่เป็นธรรม
นายคำรณ กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้ที่รับทุนสนับสนุนจาก สสส. กว่า 5,000 โครงการ มีประมาณ 300 โครงการ ที่กำลังได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากสรรพากรเขต มีหนังสือให้ไปเสียภาษีย้อนหลัง พร้อมจ่ายค่าปรับ 6 เท่า ทั้งที่ปกติการรับทุนจาก สสส. จะแยกส่วนของเงินค่าบริหารโครงการ ซึ่งเป็นค่าจ้างบุคลากร และมีการหักภาษี ณ ที่จ่ายไปแล้ว ส่วนค่าใช้จ่ายโครงการเป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ต้องใช้ตามแผนงาน อีกทั้งสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ลงตรวจสอบทุกปีไม่เคยมีปัญหา และก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรีเคยมีหนังสือสั่งการให้เร่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนในกรณีนี้เป็นการด่วน และมีข้อยุติไปนานแล้ว แต่กรมสรรพากรกลับทำตรงกันข้าม ยิ่งสร้างความเดือดร้อนทำลายขวัญและกำลังใจคนทำงานภาคสังคม
“เครือข่ายฯยืนยันว่า เราเสียภาษีถูกต้องตามกฎหมาย แต่กำลังถูกบิดเบือนให้สังคมเข้าใจผิดว่า เป็นคนเลี่ยงภาษี จากการตีความที่ไม่เป็นธรรมของสรรพากร ให้เป็น “สัญญาจ้างทำของ” เหมือนธุรกิจ เป็นการค้าขาย มีกำไร เพื่อจัดเก็บภาษีย้อนหลัง โดยคิดจากเงินโครงการที่ได้รับทั้งหมด ไม่ใช่เก็บภาษีเฉพาะเงินค่าตอบแทนของผู้ปฏิบัติงานอย่างที่เป็นมา” นายคำรณ กล่าว และว่า การตีความลักษณะนี้ แสดงว่า สรรพากรไม่เข้าใจบทบาทการทำงานของ สสส.และภาคี หรืออาจจะรู้แต่ดื้อแพ่งแกล้งทำเป็นไม่รู้ ซึ่งหลังจากนี้เครือข่ายฯ เตรียมร้องศาลปกครองและดำเนินคดีอาญามาตรา 157 ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และเตรียมร้องเรียนนายกรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้า หากไม่ได้ข้อยุติในเรื่องนี้
ด้านนางสาวมานิดา โศภิษฐพงษ์ ผู้จัดการโครงการพัฒนาศักยภาพคนพิการด้านดนตรี กล่าวว่า โครงการของตนไม่ใช่โครงการที่จะมาแสวงหาผลกำไรใดๆ แต่เราทำงานเพื่อฝึกอบรมพัฒนาศักยภาพด้านดนตรีให้กับคนพิการ ต่อยอดให้เขานำไปสู่การสร้างอาชีพมีรายได้เลี้ยงตัวเอง ทำมาต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2556 อีกทั้งโครงการนี้หักภาษีเงินเดือนคนทำงาน ณ ที่จ่ายทุกปี เหตุใดจึงมีหนังสือจากสรรพากรให้ไปเสียภาษีย้อนหลังจากเงินโครงการทั้งก่อน และให้จ่ายค่าปรับ 6เท่า ซึ่งไม่เป็นธรรม ไม่มีการแจ้งหรือรู้มาก่อนว่าต้องจ่ายส่วนนี้ ซึ่งไม่ได้ระบุไว้ในสัญญาตั้งแต่แรก
“อยากถามสรรพากรว่า สมควรแล้วหรือที่จะเรียกเก็บภาษีในลักษณะนี้ เป็นการทำเกินอำนาจหน้าที่หรือไม่ น่าเสียใจอย่างยิ่งที่กรมสรรพากรมองว่า การทำงานของเราเหมือนการแสงหากำไร ทั้งที่การทำงานที่ผ่านมาไม่มีกไร เงินที่เหลือจากโครงการต้องส่งคืน สสส. เราเป็นเพียงผู้ทำการแทน สสส. ตามข้อตกลงในสัญญา เป็น “สัญญาตัวแทน” ไม่ใช่ “รับจ้างทำเอง” แต่อย่างใด หนากเรื่องนี้ไม่ได้ข้อยุติในเร็ววันเชื่อว่า คนที่มีใจทำงานภาคสังคม ซึ่งก็คือคนที่ช่วยเป็นมือเป็นไม้ให้รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยในการทำงานสร้างเสริมสุขภาพ อุดช่องว่างที่ระบบราชการเข้าไม่ถึง จะถอดใจกันหมด” น.ส.มานิดา กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในจดหมายเปิดผนึกที่ทางเครือข่ายฯไปยื่นต่อกรมสรรพากร มีเนื้อหาดังนี้
1. ขอให้ยุติการจัดเก็บภาษีที่ไม่เป็นธรรม และทบทวนการตีความโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจาก สสส. จาก “สัญญาจ้างทำของ” ให้กลับมาเป็น “สัญญาตัวแทน” เพื่อให้การจัดเก็บภาษีถูกต้องสอดคล้องกับลักษณะการดำเนินงาน โดยผู้ดำเนินโครงการเสียภาษี “ค่าตอบแทน” ตามเงื่อนไขกำหนดของ สสส. อยู่แล้ว
2. หนังสือชี้แจงข้อมูลการดำเนินการและการรับจ่ายเงินของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2560 อ้างอิงเลขหนังสือ สสส.ฝ.5/323/2560 เรียนอธิบดีกรมสรรพากร ลงนามโดย พลเรือเอกณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรีและประธานกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ได้ชี้แจงไว้ชัดเจนแล้วถึงข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องในลักษระ “สัญญาตัวแทน” ตลอดจนกำหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เหตุใดกรรมสรรพากรกำลังทำผิดในกระบวนการขั้นตอนตามระบบราชการ นอกจากนี้ยังพบว่ากรมพยายามส่งสัญญาณให้เข้าหน้าที่เร่งรีบเดินหน้าจัดเก็บภาษี “สัญญาจ้างทำของ” จากโครงการให้ได้ ทั้งๆ ที่ข้อโต้แย้งยังไม่ยุติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
3. เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2559 ตัวแทนภาคีเครือข่ายฯ ได้ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมจากนายกรัฐมนตรี ต่อมาท่านได้มีดำริให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาโดยเร็ว และในท้ายที่สุดมีความเห็นของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่นายยงยุทธิ์ ยุทธวงศ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แต่งตั้ง ให้ประเด็นข้อโต้แย้งต่างๆ ก็เป็นที่สิ้นสุดแล้ว แต่เหตุใดจึงไม่ถูกนำไปพิจารณาและในทางปฏิบัติภาคีเครือข่ายต่างๆ กลับถูกตามเร่งรัดจัดเก็บภาษีอย่างไม่เป็นธรรม สวนทางกับดำรินางนายกรัฐมนตรี
ดังนั้นหากปัญหานี้ยังไม่ได้ข้อยุติภาคีเครือข่ายฯ มีความจำเป็นต้องนำเรียนข้อเท็จจริงต่อนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง และขอใช้สิทธิอันพึงมีตามรัฐธรรมนูญ ในการร้องต่อศาลปกครองเพื่อให้มีการคุ้มครองชั่วคราว ตลอดจนดำเนินการคดีตามประมวลกฎหมายอาญาในมาตรา 157 ต่อผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ในฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด