เกษตรกร-แท็กซี่เผยไม่แฮปปี้บัตรประชานิยม แก้ปัญหาไม่ตรงจุด
ผู้ใช้บัตรเครดิตชาวนา-พลังงานเผยประชานิยมแก้ปัญหาไม่ตรงจุด คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ หวั่นสร้างภาระหนี้เพิ่ม ส่วนการออกบัตรเดบิตกองทุนสตรียังวุ่น คนทำงานผู้หญิงค้าน อ้างบ่มนิสัยฟุ่มเฟือย สร้างฐานการเมืองมากกว่าช่วยแก้ปากท้องประชาชน
ภายหลังนายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมช.กระทรวงการคลังมีแนวคิดพัฒนารูปแบบบัตรสินเชื่อเกษตรกรให้สามารถรูดซื้อสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภคได้จากร้านค้าคอนวีเนียนสโตร์ ซึ่งเป็นร้านค้าสะดวกซื้อ เช่น เซเว่น อีเลฟเว่นและแฟมิลีมาร์ท เพื่อเป็นการเพิ่มกำลังซื้อได้มากขึ้น จากปัจจุบันที่กำหนดให้ใช้ซื้อสินค้าได้เฉพาะปัจจัยการผลิตทางการเกษตร คือ ค่าเมล็ดพันธุ์ข้าว ค่าปุ๋ยและค่ายาปราบศัตรูพืช ที่เกษตรกรซื้อจากสหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาด ธ.ก.ส.และร้านค้าเครือข่าย3,000 ร้านค้าโดยระบุว่าเป็นการสร้างทางเลือกให้ลูกค้ามากขึ้น
ต่อประเด็นดังกล่าวนายวิเชียร พวงลำเจียก ประธานกลุ่มเกษตรกรระดับจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า การออกบัตรเครดิตชาวนา ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะทำให้แก้ปัญหาเรื่องการสวมสิทธิ์ ชาวนาจะได้มีความสะดวกมากขึ้นในการซื้อสินค้าการเกษตร เป็นการให้ทุนโดยตรงกับเกษตรกร ไม่ต้องทำสัญญาเงินกู้ แต่ที่น่าเป็นห่วงคือขั้นตอนการใช้บัตร รวมทั้งข้อมูลรายละเอียดต่างๆที่เกษตรส่วนใหญ่ยังไม่มีความรู้ในเรื่องนี้ รัฐต้องให้ความชัดเจน รวมทั้งการใช้จ่ายเงินเกินจุดประสงค์ต้องบอกให้ได้ว่าเพื่ออะไร ไม่ใช่แค่ให้เงินมาแล้วก็จบ
“เรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่ แม้รัฐบาลจะมีนโยบายออกมาแต่ก็ยังไม่มีความชัดเจนหลายเรื่อง ต้องทำให้เกษตรกรกระจ่างจึงจะไม่เกิดปัญหาตามมา แหล่งเงินทุนและปัจจัยการผลิตเป็นความจำเป็นต่อชาวนา ชาวนาเสียเปรียบนายทุนมาตลอด การปล่อยให้มีการใช้จ่ายที่มากกว่าความจำเป็นในการประกอบอาชีพ เกรงว่าจะเป็นการเพิ่มหนี้หรือแก้ปัญหาไม่ตรงจุด บัตรเครดิตชาวนาจะช่วยได้มากน้อยแค่ไหนต้องติดตามกันต่อไป” ประธานเกษตรกรจังหวัดอยุธยา กล่าว
นายสมคิด มาลัยวรรณ อายุ 58 ปี เกษตรกรตำบลเชียงยืน อ.เมือง จ.อุดรธานี กล่าวว่า เกษตรกรหลายคนยังไม่รู้เรื่อง ข้อมูลขั้นตอนการใช้ประโยชน์เป็นอย่างไรน้อยคนที่รู้ อยากให้รัฐบาลทำการบ้าน ออกประชาสัมพันธ์มากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องดอกเบี้ยต้องจ่ายเท่าไหร่ เบื้องต้นชาวนายังสับสนยัง จะมาสนับสนุนให้ใช้บัตรซื้อสินค้าร้านสะดวกซื้ออีก อาจทำให้ชาวนาเสียเปรียบพ่อค้า เพราะราคาสินค้าถูกกำหนดตายตัว เอื้อประโยชน์กลุ่มทุน ส่วนตัวเห็นว่าการใช้เงินสดน่าจะมีความสะดวกมากกว่า ขณะที่จะให้ชาวนาใช้จ่ายใช้จ่ายได้มากกว่าซื้อปัจจัยการผลิต ตนไม่เห็นด้วยจะเป็นการเพิ่มภาระหนี้สินโดยไม่จำเป็น
อย่างไรก็ตามรัฐบาลยังมีแนวคิดที่จะมีการออกบัตรเดบิตให้กองทุนพัฒนาสตรี นางจันทวิภา อภิสุข ผอ. มูลนิธิ M-POWER องค์กรทำงานด้านส่งเสริมโอกาสผู้หญิง กล่าวว่า กองทุนพัฒนาสตรีเป็นการเลือกปฏิบัติเจาะจงเฉพาะกลุ่มผู้หญิงบางกลุ่มแต่ไม่ครอบคลุมผู้หญิงทั่วประเทศที่มีสัดส่วนจำนวนประชากรมากกว่าผู้ชาย รัฐบาลจะออกบัตรเดบิตอาจเป็นการสร้างหนี้เพิ่มโดยไม่เกิดประโยชน์ใดๆ การแจกบัตรเดบิตก็เหมือนการแจกหนี้ รัฐต้องมองสังคมโดยรวมว่าจริงๆแล้วปัญหาผู้หญิงมีอะไรบ้าง ไม่ใช่แค่การแจกเงิน
“รัฐมีเจตนาอย่างใดอย่างหนึ่งที่ไม่ใช่การแก้ไขปัญหาสตรีหรืออาจเป็นการวางฐานทางการเมืองของใครบางคนในอนาคต ผู้หญิงยังขาดข้อมูล ขาดความรู้ความเข้าใจ ขาดความรู้เท่าทัน เรื่องการให้บัตรเดบิต รัฐบาลควรทำประชาพิจารณ์ ต้องวางกรอบการกระจายเงินให้ทั่วถึง ไม่ใช่ให้ไปแล้วไม่มีการสานต่อ ระยะยาวต้องให้ความรู้ สร้างให้ผู้หญิงมีบทบาทในสังคม มีความเป็นผู้นำ มีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายต่างๆอย่างแท้จริง”
ดร.สุธาดา เมฆรุ่งเรืองกุล ผู้ประสานงานเครือข่ายผู้หญิงพลิกโฉมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า โครงการดังกล่าวเป็นการดำเนินนโยบายสาธารณะที่ขาดการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชนและเครือข่ายสตรี การกำหนดให้กองทุนต้องมีการสมัครสมาชิกยังถือเป็นการลิดรอนสิทธิพลเมือง ข้อกำหนดหลายข้อในระเบียบสำนักนายกฯมีการวางขอบเขตการใช้อำนาจภาครัฐและการเมืองครอบงำกำกับการดำเนินนโยบายอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเกินไป อีกทั้งยังเป็นกองทุนเปิดมากเกินไปแบบมีนัยยะทางการเมืองที่ชัดเจน
นางอำนวย โฉมศรี ชาวตำบลบางนา อ.มหาราช จ.พระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า การทำกองทุนพัฒนาสตรี เป็นเรื่องที่ดีที่รัฐเปิดโอกาสให้ผู้หญิงมีสิทธิมีเสียงมีเวทีได้แสดงคามรู้ความสามารถ เพราะทุกวันนี้ผู้หญิงมีบทบาทน้อยเกินไป บางคนไม่มีอาชีพไม่มีรายได้มาจุนเจือครอบครัว กองทุนฯจะช่วยได้ในเรื่องเงินทุนประกอบอาชีพ แต่อย่างไรก็ตามเรื่องนี้รัฐบาลยังทำประชาสัมพันธ์น้อยเกินไป ทำให้ผู้หญิงหลายคนไม่รู้เรื่อง ความจริงน่าจะมีการเปิดเวทีชี้แจงในพื้นที่ให้มากกว่านี้ โดยเฉพาะเรื่องของบัตรเดบิตที่จะแจกให้ผู้หญิงที่เข้าร่วมกองทุนนี้ ต้องทำความชัดเจนให้เกิดขึ้นก่อนดำเนินการ
ขณะที่โครงการบัตรเครดิตพลังงานที่มีการแจกให้กลุ่มผู้ขับรถแท็กซี่ไปแล้ว นายอุดร ขันตี ประธานชมรมแท็กซี่อาสา กล่าวว่า ขั้นตอนการใช้บัตรและประโยชน์ที่ได้จากบัตรเครดิตพลังงาน แท็กซี่ส่วนใหญ่มองว่าไม่มีประโยชน์ ไม่ค่อยมีความสำคัญต่อการประกอบอาชีพเท่าไหร่นัก เนื่องจากมีความยุ่งยาก ไม่สะดวก บางคนไม่รู้เรื่อง หลายคนมองว่าการมีเงินในกระเป๋าดีกว่าเพราะใช้จ่ายสะดวกสบายกว่า หากจะช่วยเหลือแท็กซี่ รัฐควรปรับแก้มิเตอร์ หาที่จอดรับผู้โดยสารเป็นเรื่องเป็นราวรวมทั้งการควบคุมค่าเช่ารถให้อยู่ในอัตราที่ไม่สูงเกินไปนัก
“ทุกวันนี้ความเดือดร้อนของแท็กซี่ไม่ใช่ค่าพลังงานเชื้อเพลิง แต่เป็นค่าเช่ารถที่แพงเกินจริง เพราะเจ้าของรถเป็นคนกำหนด ถ้าเป็นรถใหม่ก็ตกประมาณ 700-800 บาทต่อวัน ถ้าขับรถเก่าผู้โดยสารก็ไม่อยากใช้บริการ หักลบรายได้ต่อวันแทบไม่เหลือ รัฐควรเข้ามาดูแลเรื่องค่าเช่าให้ถูกลง มีกฎระเบียบควบคุมไม่ให้เจ้าของอู่รถเอาเปรียบคนขับแท็กซี่จะดีกว่า” ประธานชมรมแท็กซี่อาสา กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กองทุนพัฒนาสตรีมีผู้สมัครเข้าเป็นสมาชิกกองทุนฯ จนถึงสิ้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา จำนวนทั้งสิ้น 10,141,477 คน คิดเป็น37.19% ของผู้มีสิทธิทั้งหมดทั่วประเทศ แยกเป็น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 56.07% ภาคเหนือ 38.45% ภาคใต้ 35.98% ภาคกลาง23.58% ภาคตะวันออก 24.76% และกรุงเทพมหานคร 6.90% แนวทางเบื้องต้นการใช้บัตรเดบิตกองทุนสตรี ผู้เข้าร่วมโครงการต้องเปิดบัญชีกับธนาคารออมสิน รัฐจะโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารออมสินและให้ธนาคารออมสินโอนเงินเข้าสู่บัตรเดบิตให้กับสมาชิกกองทุนอีกต่อหนึ่ง ซึ่งขณะนี้จัดหาเม็ดเงินได้แล้ว 1,700 ล้านบาท
ขณะที่บัตรบัตรเครดิตพลังงาน ผู้เข้าร่วมโครงการเป็นกลุ่มผู้ประกอบการรถแท็กซี่ รถตู้โดยสาร ขสมก. และรถตุ๊กตุ๊ก ที่ใช้ก๊าซเอ็นจีวีได้รับบัตรเครดิตพลังงานในวงเงิน 3,000 บาทต่อเดือน จะต้องใช้บัตร 2 ใบควบคู่กัน คือ บัตรเติมก๊าซเอ็นจีวี ซึ่งเป็นบัตร Magnetic ประจำแต่ละคันรถ ออกโดยปตท.เพื่อแสดงสิทธิของรถที่เข้าร่วมโครง การกับกระทรวงพลังงานจำนวน 81,275 ใบ และบัตรเครดิตพลังงานเป็นบัตร Magnetic บวก Chipรายบุคคล ออกโดยธนาคารกรุงไทย เพื่อแสดงสิทธิการได้รับวงเงินเครดิตพลังงานเป็นรายเดือน จำนวน 156,275 ใบเปิดใช้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 54
ส่วนบัตรเครดิตหรือบัตรสินเชื่อชาวนา ธกส.นำร่อง 5 จังหวัดได้แก่ พระนครศรีอยุธยา, ลพบุรี, สระบุรี, อุดรธานีและ เชียงใหม่ กว่า5,000 ใบเกษตรกรสามารถไปซื้อปัจจัยการเกษตรในร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการได้ทันที โดยมีวงเงินจากบัตรเครดิตรายละไม่เกิน 50,000 บาท สินค้าที่สามารถรูดซื้อประกอบด้วย ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง และเมล็ดพันธุ์พืช พร้อมกันนี้ยังมีแนวคิดขยายกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่เข้าโครงการนี้ออกไปยังกลุ่มชาวสวน ชาวไร่ ชาวประมง ตั้งเป้าแจก 2 ล้านใบภายใน 2 ปี คิดอัตราดอกเบี้ยรายย่อยสำหรับลูกค้าชั้นดีหรือเอ็มอาร์ อาร์ ที่ร้อยละ 7 ปลอดดอกเบี้ย 30 วัน ปัจจุบันร้านค้าที่เกษตรกรสามารถซื้อสินค้ามีกว่า 1,900 ร้าน และจะขยายเป็น 3,000 ร้านในเดือนพฤษภาคมนี้
สำหรับแนวคิดใช้บัตรรูดซื้อสินค้าร้านสะดวกซื้อ รัฐบาลมอบหมายธ.ก.ส.ประสานความร่วมมือกับธนาคารกรุงไทยในการพัฒนาระบบชำระเงินให้ธ.ก.ส.เพื่อสร้างทางเลือกให้ลูกค้า โดย รมช.คลัง ระบุว่า เมื่อรัฐบาลมีนโยบายรับจำนำข้าวแสดงว่าเกษตรกรมีรายได้มั่นคงแล้ว ดังนั้นบัตรสินเชื่อน่าจะเป็นบัตรเครดิตที่มีอิทธิฤทธิ์มากกว่าซื้อปุ๋ย ซึ่งน่าจะใช้ไปซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคอย่างอื่นได้