เครือข่าย ปชช.ระบุพลังพลเมืองต้องยกระดับขับเคลื่อนการเมืองจึงปฏิรูปประเทศได้
เครือข่าย ปชช. ระบุอำนาจทุนสูบประเทศ-อำนาจรัฐไม่ปกป้องประชาชน จับมือ อปท.-ศิลปิน-ราชการ-ธุรกิจ ประกาศพลังพลเมืองเปลี่ยนประเทศได้ ทุกภาคส่วนต้องเดินไปด้วยกัน
วันที่ 1 เม.ย.55 คณะกรรมการการสื่อสารเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย รายงานว่ามีการเสวนา “พลังพลเมือง เปลี่ยนประเทศไทย” ในงานสมัชชาปฏิรูประดับชาติ ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทคบางนา โดยนายชาติวัฒน์ ร่วมสุข ตัวแทนเครือข่ายภาคประชาชน กล่าวว่าปฏิรูปซึ่งเป็นโจทย์ประเทศไทยในเวลานี้เป็นภารกิจของพลเมืองทุกคน ซึ่งขณะนี้มีปัญหาโดยเฉพาะเรื่องการใช้อำนาจ คืออำนาจทุนใช้อำนาจผิดคอยแต่จะสูบประโยชน์ของประเทศ ขณะที่อำนาจรัฐก็ไม่ได้ปกป้องว่าสิ่งที่จะทำกับประชาชนผิดหรือถูก หรือประชาชนได้ประโยชน์หรือไม่ ต่อจากนี้ต้องร่วมกันฟื้นอำนาจสังคมโดยใช้พลังพลเมือง 2 เรื่อง
"1.ปรับเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจรัฐ ซึ่งที่ผ่านมาพยายามทำหลายแบบ แต่ทำได้เฉพาะแสดงความเห็นในกฎหมายหรือ พ.ร.บ.เล็กๆ ยังไม่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลง 2.ปรับเปลี่ยนสำนึกประชาชนให้มีสำนึกพลเมือง ดำเนินตามวิถีประชาธิปไตย และยกระดับงานพัฒนาสู่งานการเมือง โดยนำปัญหาชุมชนมาแก้ไข แต่ทุกเรื่องต้องใช้เวลาและต้องร่วมมือทุกภาคส่วน"
นางกานดาภร ไชยปากดี ตัวแทนเครือข่ายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กล่าวว่าจากประสบการณ์ชุมชนที่มีปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม และได้รวมพลังชาวบ้านต่อสู้กับความอยุติธรรมจนสามารถผลักดันกำหนดนโยบายร่วมกันในการแก้ปัญหาในพื้นที่ เชื่อว่าพลังประะชาชนสามารถเปลี่ยนแปลงประเทศได้ และการรวมเครือข่ายจากพลังประชาชนในระดับพื้นที่ จะขยายไปสู่ระดับจังหวัดระดับประเทศ และนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยท้องถิ่นต้องทำหน้าที่ส่งเสริมการทำงานของประชาชน ผู้นำท้องถิ่นต้องฟังเสียงประชาชนในพื้นที่ ไม่ใช่มีจุดยืนตามหนังสือสั่งการจากส่วนกลาง
นายบุญธรรม เทอดเกียรติชาติ ตัวแทนเครือข่ายศิลปิน กล่าวว่าการปฏิรูปประเทศมี 2 รูปแบบ 1)ทำแบบหนูถีบจักร ทำไปเรื่อยๆแบบเครื่องจักรตามที่ถูกป้อน 2)ทำแบบยั่งยืน โดยยึดตามจารีตซึ่งมีในทุกสังคมและเป็นภูมิคุ้มกันสิ่งไม่ดี ทั้งนี้การปฏิรูปจะต้องทำอย่างสมดุลเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมที่สุด
น.ส.ทิฆัมพร กองสอน ตัวแทนเครือข่ายแผนแม่บทชุมชน 4 ภาค กล่าวว่าต้องทำให้ชาวบ้านพึ่งพาตนเองได้ จึงจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น โดยจะเกิดขึ้นได้ด้วยการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในทุกกระบวนการ เปิดเผยข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนรอบด้าน ทั้งข้อมูลของประชาชนที่สามารถเชื่อมโยงกับจังหวัดและทุกภาคส่วนต่างๆ ก็จะทำให้เกิดการทำงานแบบบูรณาการร่วมกันเพื่อสร้างสังคมที่อยู่เย็นเป็นสุข
นายพงษ์โพยม วาศภูติ ตัวแทนเครือข่ายภาคราชการและการเมือง กล่าวว่าสิ่งที่สำคัญที่กระบวนการสมัชชาพยายามทำให้เกิดขึ้นคือการเชื่อมประสานระหว่างฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ ภาคประชาชน พยายามสร้างความเป็นเจ้าของให้เกิดจากทุกๆฝ่าย ถ้าสร้างความสำนึกรู้เรื่องนี้ได้จะทำให้เกิดการทำงานแบบบูรณาการที่ดีร่วมกัน ระบบราชการเองก็ต้องเตือนตนเองอยู่เสมอว่าจะต้องไม่ไปสั่งการชาวบ้าน แต่ต้องทำงานร่วมกันในรูปแบบของการเสริมและอุดรูรั่วในสิ่งต่างๆที่ชาวบ้านต้องการมากกว่า
“ระบบของนักการเมืองนั้นต้องการให้ประชาชนอ่อนแอ เพื่อจะเสนอตัวเป็นที่พึ่งและเข้ามาหาผลประโยชน์จากประชาชน ดังนั้นการทำให้ประชาชนพึ่งพิงตนเองได้จึงถือได้เป็นเรื่องสำคัญที่พวกเราจะต้องทำให้เกิดพลังและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง”
น.ส.กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร ตัวแทนเครือข่ายจากภาคธุรกิจ กล่าวว่าต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้สะอาดโปร่งใส ต้องมีหนึ่งคนที่จะกล้าลุกขึ้นมาทำ ก็จะมีคนอื่นๆตามมา วันนี้หอการค้าไทยกล้าที่จะลุกขึ้นมาผลักดันที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ซึ่งเป็นหน้าที่ของทุกคน
“คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าธุรกิจคือนายทุนที่จ้องจะเอาผลประโยชน์อย่างเดียว ธุรกิจก็คือประชาชน การเติบโตที่แท้จริงต้องมาจากสมดุลที่ทุกคนต้องเติบโตไปด้วยกัน ซึ่งจะต้องมาพร้อมกับสังคมและชุมชน การสร้างคนไม่ใช่เฉพาะในโรงเรียน ต้องพัฒนาไปตลอดชีวิต ความเจริญนั้นไม่ได้วัดที่ตัวเลขของจีดีพีหรือความร่ำรวย แต่คือการทำให้เราอยู่ด้วยกันอย่างเป็นสุข และพัฒนาตัวเองอย่างดีที่สุด” .
ที่มาภาพ : http://bit.ly/HAEJTO