โผล่อีก จ.พังงา!ศาลอุทธรณ์สั่งเพิกถอน น.ส.3 บ.อสังหาฯใหญ่พันล.ออกมิชอบ
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับสั่งเพิกถอน น.ส.3 บ.อสังหาฯดัง 3 แปลง ออกเอกสารสิทธิ์มิชอบ ต.ถ้ำน้ำผุด จ.พังงา ส.ค.1 บิน หลังฟ้องชาวบ้านเป็นจำเลยข้อหาบุกรุก มูลค่าเกือบพันล้าน
คดีพิพาทในเรื่องการถือครองเอกสารสิทธิ์ที่ดินในพื้นที่ภาคใต้ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมิใช่แค่ จ.กระบี่ ภูเก็ต ตามที่ปรากฎเป็นข่าวก่อนหน้านี้
ล่าสุดสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 29 ส.ค.2559 ศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 2415/2559 ระหว่าง พนักงานอัยการจังหวัดพังงา โจทก์ บริษัทกุ้ยหลินพังงา จำกัด โจทก์ร่วม ฟ้องชาวบ้าน 4 คน ได้แก่ นายกุศล ค้าไกล นายพีระวัฒน์ พงศ์สิริเดช หรือนายวิทฑูรย์ หมายดี นายบัญชา ถิ่นลิพอน และ นายแสงอรุณ ทองมี ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-4 ในข้อหาบุกรุกทำให้เสียทรัพย์ ที่ดินพิพาท 60 ไร่ ในพื้นที่หมู่ที่ 3 ต.ถ้ำน้ำผุด อ.เมืองพังงา จ.พังงาที่มีชื่อบริษัท กุ้ยหลินพังงา จำกัดเป็นผู้ถือครอง ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ได้พิพากษาว่า หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เนื้อที่ประมาณ 45 ไร่มีชื่อบริษัท กุ้ยหลินพังงา จำกัด ออกไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลมีอำนาจเพิกถอนเสียได้
“เชื่อว่าที่ดินพิพาทรายนี้ยังเป็นที่ดินของรัฐหรือเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 (1) ประกอบประมวลหมายที่ดิน มาตรา 2 ที่บัญญัติว่าที่ดินซึ่งไม่ได้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของบุคคลหนึ่งบุคคลใดให้ถือว่าเป็นของรัฐ ซึ่งที่ดินพิพาทนี้ยังไม่มีบุคคลใดรวมทั้งโจทก์ร่วมได้สิทธิในที่ดินมาตามกฎหมายที่ดิน จึงไม่อาจมีการกระทำความผิดฐานบุกรุกและฐานทำให้เสียทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้องได้ โจทก์ร่วมไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาททั้งสิ้น จึงไม่เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย” คำพิพากษาระบุ
และระบุอีกว่า ประเด็นดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองและแม้จำเลยอื่นและจำเลยที่ 1 จะมิได้อุทธรณ์ในประเด็นนี้ แต่เป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลมีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยอื่นได้ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมและอุทธรณ์ของจำเลยอื่นอีกต่อไป เพราะไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลแห่งคดีได้ ที่ศาลชั้นต้นพิพาษามานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลอุทธรณ์ภาค 8 อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ฟังขึ้น พิพากศาลกลับให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยทั้งสี่
สำนักข่าวอิศรารายงานว่า ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การออก น.ส.3 ของบริษัท กุ้ยหลินพังงา จำกัด ตำแหน่งที่ตั้งของที่ดินไม่สอดคล้องกับ ส.ค.1 ซึ่งเป็นหลักฐานเดิม ทั้งนี้ที่ดินแปลงดังกล่าวราคาซื้อขายปี 2554 ไร่ละ ประมาณ 12 ล้านบาท มีมูลค่าประมาณ 600 ล้านบาท ไม่รวมแปลงอื่นที่มีเจ้าของรายเดียว รวมมูลค่าเกือบ 1,000 ล้านบาท
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณกลางเดือนธันวาคม 2554- กลางเดือนมกราคม 2555 จำเลยทั้งสี่กับพวกร่วมกันบุกรุกเข้าไปปรับพื้นที่ ขุดร่องน้ำ ก่อสร้างบ้านพัก ในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ที่ 21, 142, และเลขที่ 144 ซึ่งมีบริษัท กุ้ยหลินพังงา จำกัด เป็นผู้เสียหาย เป็นผู้ถือสิทธิการครอบครอง จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาจำเลยมีความผิดหลายกรรมต่างกัน ฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ ลงโทษจำคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน โจทก์ร่วมและจำเลยอุทธรณ์ กระทั่งศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีคำพิพากษาข้างต้น คดีอยู่ระหว่างฎีกา
สำนักข่าวอิศรารายงานว่า บริษัท กุ้ยหลินพังงา จำกัด จดทะเบียนวันที่ 2 มี.ค. 2532 ทุน 1 ล้านบาท ประกอบธุรกิจ การซื้อและการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นของตนเองที่ไม่ใช่ เพื่อเป็นที่พักอาศัย ที่ตั้งเลขที่ 601 ซอยรามคำแหง 39 (เทพลีลา1) ถนนรามคำแหง แขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร มีกรรมการ 3 คน มีเครือข่ายกว่า 20 บริษัททั้ง พังงา หัวหิน กรุงเทพฯ ฐานธุรกิจหลายพันล้านบาท