ตะลึง!คนไทย 9.8% เป็นเบาหวาน “แพทย์” ชี้ ผู้ป่วยควรปรับไลฟ์สไตล์ งดหวาน-ออกกำลังกาย
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคเบาหวาน ชี้สถานการณ์ผู้ป่วยโรคเบาหวาน พบคนไทย 11 คน จะพบผู้ป่วย 1 คน หรือ คิดเป็น ร้อยละ 9.8 จากประชากรทั้งหมด ที่พบบ่อยคือ เบาหวานที่เกิดกับผู้ที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์ที่กำหนด หรืออ้วน มีประวัติทางกรรมพันธุ์ -อึ้ง เบาหวานที่เกิดกับกลุ่มเยาวชนที่มีน้ำหนักเกินมีแนวโน้มสูงขึ้นจากอดีต
วันที่ 14 พ.ย. ของทุกปี เป็นวันเบาหวานโลก จากข้อมูลของสมาพันธ์เบาหวานนานาชาติ รายงานว่าในปี พ.ศ. 2558 ผู้ป่วยโรคเบาหวานทั่วโลกมีจำนวน 415 ล้านคน และจะเพิ่มขึ้นเป็น 642 ล้านคนในปี พ.ศ. 2583 มีผู้เสียชีวิตจากโรคเบาหวานจำนวน 5.3 ล้านคน นอกจากนี้ยังพบว่า ประชากรวัยผู้ใหญ่ 1 ใน 11 คน ป่วยเป็นโรคเบาหวาน โดยในแต่ละวันจะมีจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคเบาหวาน 200 คน หรือ 8 รายต่อชั่วโมง และมีเพียง 10% ของผู้ป่วยเบาหวานที่มีชีวิตอยู่โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนต่างๆ
เมื่อเร็วๆ นี้ สมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทยภายใต้โครงการป้องกันและส่งเสริมคนไทยไม่ให้เจ็บป่วยฉุกเฉิน สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) จัดเวที ระดมทีมแพทย์ บุคลากร ผู้เชี่ยวชาญด้านงานเวชศาสตร์ฉุกเฉิน จากทั่วประเทศกว่า 100 คน จัดอบรมภายใต้แนวคิด”มีสุขภาพดี…คุมได้ แก้ไขได้ทัน…สรรค์ความช่วยเหลือ” โดยมีหัวข้อที่น่าสนใจ ได้แก่ “คำถามที่พบบ่อยจากผู้ป่วยโรคเบาหวาน และแนวทางปฏิบัติทำให้ไม่เกิดการเจ็บป่วยฉุกเฉินจากโรคเบาหวาน โดย รศ.พญ.ทิพาพร ธาระวานิช คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ พญ.ฐิตินันท์ อนุสรณ์วงศ์ชัย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญต่อไร้ท่อและโรคเบาหวาน โรงพยาบาลเลิดสิน
รศ.พญ.ทิพาพร กล่าวถึงผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีอาการเจ็บป่วยฉุกเฉินจนถึงขั้นเข้าโรงพยาบาลนั้น มักเกิดจากภาวะแทรกซ้อนของโรงเบาหวาน ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ คือ
1.แทรกซ้อนแบบเฉียบพลัน คือ มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ-สูง อย่างรุนแรง โดยผู้มีน้ำตาลในเลือดต่ำจะมีน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 70 เมื่องดอาหารแล้วตรวจเลือด โดยจะมีอาการใจสั่น หน้ามืด จะเป็นลม อาจหมดสติ ซึม หรือชัก
"สำหรับภาวะน้ำตาลในเลือดสูงนั้นจะมีน้ำตาลในเลือดสูงกว่า 126 เมื่องดอาหารแล้วตรวจเลือด ผู้ป่วยบางรายอาจซึม หรือในบางราย ร่างกายไม่สามารถสลายน้ำตาลให้เป็นพลังงานได้ จึงต้องเอาไขมันมาสลายเป็นพลังงาน สุดท้ายจึงเกิดภาวะเลือดเป็นกรด โดยผู้ป่วยเบาหวานที่พบในห้องฉุกเฉินจะอยู่ในภาวะน้ำตาลต่ำรุนแรง"
2.แทรกซ้อนแบบเรื้อรัง จะเป็นลักษณะของ โรคอัพฤกษ์ อัมพาต แขน-ขาไม่มีแรง โรคหัวใจ หรือ โรคจากการติดเชื้อ เช่น ติดเชื้อในกระแสเลือด หรือผู้ป่วยเบาหวานที่ขาเป็นแผล จนต้องตัดขา เป็นต้น
รศ.พญ.ทิพาพร กล่าวถึงสถานการณ์ผู้ป่วยโรคเบาหวานในประเทศไทย ขณะนี้พบว่า ในคนไทย 11 คน จะพบผู้ป่วย 1 คน หรือ คิดเป็น ร้อยละ 9.8 จากประชากรทั้งหมด ซึ่งเบาหวานที่พบบ่อยคือ เบาหวานที่เกิดกับผู้ที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์ที่กำหนดหรืออ้วน หรือ มีประวัติทางกรรมพันธุ์ นอกจากนี้ เบาหวานที่เกิดกับกลุ่มเยาวชนที่มีน้ำหนักเกินมีแนวโน้มสูงขึ้นจากอดีต โดยมักจะอยู่ในภาวะน้ำตาลในเลือดสูง จนต้องฉีดอินซูลิน วันละหลายๆครั้ง หากผู้ป่วยขาดยามื้อใดมื้อหนึ่งไป อาจเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูงจนเลือดเป็นกรด ซึ่งผู้ปกครองต้องดูแลในส่วนนี้อย่างใกล้ชิด
“หากมีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรง หอบ เหนื่อย หน้า และปากเบี้ยว พูดไม่ได้ แขน ขาอ่อนแรง ซึ่งเป็นอาการของโลกอัมพฤกษ์-อัมพาต หรือมีไข้สูง มีแผลที่เท้าติดเชื้อบวมแดงขอให้รีบมาโรงพยาบาลโดยทันที สำหรับแนวทางป้องกัน ผู้ป่วยต้องรู้จักอาการของอาการแต่ละชนิดก่อนว่าเกิดจากสาเหตุใด และต้องพึงระลึกเสมอว่า เบาหวานไม่โรคที่เกี่ยวกับน้ำตาลเพียงอย่างเดียวแต่เกี่ยวกับหลอดเลือด เพราะฉะนั้น ต้องรักษาความดัน ไขมัน พบแพทย์ให้สม่ำเสมอ ออกกำลังกาย งดสูบบุหรี่ และลดน้ำหนัก”
ด้าน พญ.ฐิตินันทร์ กล่าวถึงปัจจัยที่ควบคุมโอกาสการเกิดโรคเบาหวานได้คือ การลดน้ำหนัก การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ งดสูบบุหรี่ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น ส่วนปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้คือ เชื้อชาติ กรรมพันธุ์ อายุที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้โรคแทรกซ้อนอื่นๆ อาทิ ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เป็นโรคหัวใจ หรือมีถุงน้ำในรังไข่ก็เป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงให้เกิดโลกเบาหวานได้เช่นกัน
“จากหลายๆผลการศึกษาจากต่างประเทศพบว่า การแก้ไขวิถีการดำเนินชีวิต โดยการออกกำลังกายแอโรบิค สัปดาห์ละ 150 นาทีเป็นอย่างน้อย ลดอาหารหวานและอาหารที่ให้พลังงานเยอะ ทานอาหารตรงเวลา ลดปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมได้เอง สามารถชะลอการเกิดโรคเบาหวานในอนาคตได้ถึง 28% โดยไม่ต้องอาศัยยาให้เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด ซึ่งถือว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุด ” พญ.ฐิตินันทร์ กล่าว และว่า เบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่คนส่วนใหญ่คิดว่าไม่เป็นอันตราย หากแต่ผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมน้ำตาลให้อยู่ในระดับปกติได้ จะส่งผลให้ผู้ป่วยเจ็บป่วยฉุกเฉินด้วยโรคแทรกซ้อนต่างๆได้ หรือทำให้ผุ้ป่วยเสียชีวิตได้เช่นกัน