สำรวจแผงสลากฯ ขายแพงสุดใบละ 130 บ. แก้ไม่สำเร็จ จี้นายกฯ รีเซ็ทระบบใหม่
ภาคประชาสังคมสำรวจแผงสลากฯ พบจำหน่ายแพงสุดใบละ 130 บ. -ชุด 15 ใบ 2,700 บ.-เล่มละ 8,100 บ. จี้ ‘บิ๊กตู่’ รีเซ็ทระบบใหม่ จัดระเบียบผู้ค้า โควต้า พร้อมรณรงค์ลดพนัน ไม่ซื้อสลากฯ เเพง สนับสนุนคอร์รัปชัน
วันที่ 8 พ.ย. 2560 มูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน ร่วมกับเครือข่ายประชาชนปฏิรูปสลาก จัดเสวนา เรื่อง สลากแพงแก้ไม่สำเร็จ ถึงเวลา Reset หรือยัง ณ โรงแรม มิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ
นายราเมศร ศรีทับทิม เครือข่ายประชาชนปฎิรูปสลาก เปิดเผยว่า เครือข่ายประชาชนปฏิรูปสลากได้ออกสำรวจตลาดการค้าสลาก 12 พื้นที่ ในกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง พบว่า สลากฯ ใบ จำหน่ายเกินราคามากที่สุดใบละ 130 บาท ต่ำสุดใบละ 75 บาท ขณะที่สลากฯ ชุด จำหน่ายเกินราคามากที่สุด 15 ใบ/ชุด ราคาชุดละ 2,700 บาท เฉลี่ยใบละ 180 บาท ทั้งนี้ ตัวเลขดังเป็นหนึ่งในปัจจัยทำให้ราคาสลากฯ แพงขึ้น
“เฉพาะสลากฯ ชุด ที่ผู้ซื้อมักนิยม คือ 5 ใบ/ชุด ด้วยราคาที่เข้าถึงง่าย โดยนิยมจำหน่ายอยู่ที่ชุดละ 480 บาท ขณะที่สลากฯ 2 ใบ/ชุด จำหน่ายอยู่ที่ชุดละ 160-200 บาท”
สำหรับสลากฯ เล่มนั้น ผู้แทนเครือข่ายประชาชนฯ กล่าวว่า ราคามากที่สุด 8,100 บาท/เล่ม น้อยที่สุด 7,500 บาท/เล่ม ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นตัวเลขไม่ได้รับความนิยม เช่น 00 และจะจำหน่ายที่จุดสี่แยกคอกวัว กรุงเทพฯ และกองสลากฯ สนามบินน้ำ จ.นนทบุรี เท่านั้น
ด้าน นายธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาสลากฯ จะใช้หลักเศรษฐศาสตร์เบื้องต้นไม่ได้ เพราะสลากฯ เป็นสินค้าพนัน ไม่ใช่สินค้าอุปโภคบริโภค ที่มีนโยบายเพิ่มอุปสงค์อุปทานแล้ว จะช่วยให้ราคาต่อใบต่ำลง เนื่องจากผู้ซื้อยังมีความต้องการอยู่มาก ทำให้แม้ราคาจะแพง แต่เมื่อเป็นตัวเลขที่ชอบ หลายคนจึงยอมเสียเงินซื้อ
ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหาสลากฯ แพง ต้องรื้อระบบเพื่อจัดระเบียบใหม่ทั้งหมด ภายใต้ข้อเสนอ 5 ข้อ ได้แก่ 1.ต้องแก้ไม่ให้เกิดพ่อค้าคนกลาง โดยจัดระเบียบโควต้าองค์กรการกุศลที่ไม่ได้นำสลากฯ กระจายให้แก่ผู้ค้ารายย่อยโดยตรง ตามวัตถุประสงค์
2. จัดระเบียบผู้ค้ารายย่อย โดยสงวนให้อาชีพขายสลากฯ เป็นกลุ่มคนที่ขาดโอกาสแท้จริง เช่น ผู้พิการ ผู้มีรายได้น้อย มิใช่ใครจะสามารถขายสลากฯ ได้ จึงต้องมีกระบวนการคัดกรองอย่างชัดเจน
3.ต้องจำกัดการจำหน่ายสลากฯ รัฐบาลจึงไม่ควรหวังรายได้มหาศาลจากการจำหน่าย แต่ควรจำกัดการจำหน่ายสลากฯ โดยประกาศชัดเจนว่า ต้องการรายได้จากกิจการสลากฯ ไม่เกินปีละเท่าไหร่
4.ตรวจสอบการทุจริต เพราะอาจมีการทุจริตที่เอื้ออำนวยให้เกิดการแสวงประโยชน์จากการจำหน่ายสลากฯ เช่น เอื้ออำนวยให้มีการรวมชุดสลากฯ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้มาจากภายในของหน่วยงานสลากฯ
5.รณรงค์ค่านิยมลดเล่นการพนัน ด้วยการเร่งประชาสัมพันธ์ทำให้ค่านิยมเล่นพนันหมดไป โดยจำเป็นต้องให้มืออาชีพมาช่วยคิดแผนประชาสัมพันธ์ ที่สำคัญ ทำอย่างไรให้ผู้ซื้อไม่ซื้อสลากฯ แพง ซึ่งเป็นหนึ่งในการสนับสนุนคอร์รัปชัน
“หากรัฐบาลยังปล่อย ไม่ยอมแก้ไขปัญหาระบบโครงสร้าง ไม่สามารถกำกับดูแลคนกลาง ไม่จัดการค่านิยมผิดเกี่ยวกับการพนันของประชาชน รวมถึงกระบวนการทางการตลาด สุดท้ายแล้ว ปัญหาจะมะรุมมะต้ม จึงจำเป็นต้องรื้อระบบเพื่อจัดระเบียบใหม่” เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน กล่าว
ขณะที่ ดร.วิเชียร ตันศิริคงคล อาจารย์ภาควิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ระบุถึงผลการประเมินที่รัฐบาลแก้ปัญหาสลากฯ แพงไม่สำเร็จ ทั้งที่สำนักงานสลากฯ ได้ปรับปรุงวิธีการบริหารจัดการมาตลอด ตั้งแต่ลดโควต้ารายใหญ่ เพิ่มโควต้ารายย่อย เพื่อทำให้สลากฯ อยู่ในมือของผู้ค้าตัวจริง และถึงแม้จะมีโทษจำคุก โทษปรับ และโทษทางปกครอง แต่การแก้ไขปัญหาไม่สำเร็จ เพราะประชาชนไม่เกรงกลัวกฎหมาย ถ้าปล่อยเป็นเช่นนี้ต่อไป สังคมย่อมจะเกิดปัญหาอย่างแน่นอน
สุดท้าย นายสนิท สังคพงศ์ ผู้ค้าสลากฯรายย่อย จ.สุรินทร์ กล่าวยอมรับว่า ปัจจุบันขายสลากฯ เกินราคา 90 บาท/ใบ จึงต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ เพราะกลัวจะถูกตำรวจจับ แต่ต้องทำเช่นนั้น เพราะต้นทุนรับสลากฯ มาจากพ่อค้าคนกลางสูงอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ผู้ซื้อเต็มใจซื้อ เพราะความเห็นใจ และสงสาร รวมถึงอยากได้ตัวเลขสวยที่ต้องการ ทั้งนี้ ไม่เคยได้รับโอกาสที่จะได้โควต้าเลย
“ฝากความหวังไว้กับรัฐบาลชุดปัจจุบันจะช่วยเหลือได้ แต่สุดท้ายแก้ไขปัญหาไม่สำเร็จ สลากฯ ยังจำหน่ายราคาแพงเช่นเดิม จึงขอให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ดำเนินนโยบายจริงจัง และเป็นรูปธรรม ไม่ใช่เพียงตามกระแส เพราะผู้ค้าทุกคนอยากจะขายสลากฯ ในราคา 80 บาท ทั้งนั้น แต่เมื่อราคาสูงตั้งแต่ต้นทาง ทำให้จำใจต้องจำหน่ายแพง” ผู้ค้าสลากฯ รายย่อย กล่าว