กม.ลูก-สรรหา กกต. ไม่เรียบร้อย ‘บิ๊กตู่’ อ้างเหตุ คสช.ไม่ปลดล๊อกพรรคการเมือง
‘พล.อ.ประยุทธ์’ เผย คสช.ยังไม่ไฟเขียว ‘ปลดล๊อก’ พรรคการเมือง หลังสถานการณ์ไม่เรียบร้อย กม.ลูกยังไม่เสร็จ ระบุให้รอต่อไป อย่าตื่นเต้น กังวล ขณะที่คืบหน้า ปรับ ครม. ไม่มีโควต้า รับปากทำให้ดีที่สุด เดินหน้าสู่ปฏิรูป
วันที่ 7 พ.ย. 2560 ที่ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เปิดเผยภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงความเป็นไปได้ในการปลดล๊อกพรรคการเมือง ว่า คสช.ได้พิจารณาประเมินสถานการณ์มาเป็นระยะ ๆ แม้กระทั่งเมื่อเช้าวันนี้ และจะประเมินต่อไป อย่างไรก็ดี สถานการณ์ในขณะนี้ยังไม่เรียบร้อย บ้านเมืองยังอยู่ในห้วงเวลาที่ไม่ควรมีความขัดแย้งทางการเมืองหรือทางอื่นใด และกฎหมายลูก 2 ฉบับสุดท้ายที่จำเป็นต่อการเลือกตั้งยังไม่เรียบร้อย ประกอบกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อยู่ในระหว่างการสรรหา รวมถึงยังไม่มีนายทะเบียนพรรคการเมือง ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญทางกฎหมายพรรคการเมือง จึงไม่สามารถปลดล๊อกทางการเมืองได้ในตอนนี้ ต้องรอไปอีกระยะ ขออย่าได้ตื่นเต้นและกังวล
ทั้งนี้ คสช.ยืนยันว่า กระบวนการทุกอย่างยังคงเดินต่อไปตามโรดแมป โดยจัดให้มีการเลือกตั้งภายใน 150 วัน นับจากเมื่อกฎหมายเลือกตั้งมีผลบังคับใช้ ส่วนกฎหมายจะเสร็จเมื่อไหร่ขอให้สอบถามจากประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) และประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)
ส่วนข้อกังวลว่าพรรคการเมืองจะทำไม่ทันภายใน 90 วัน หรือ 180 วัน ตามที่กฎหมายกำหนดและจะส่งผลกระทบต่อการเลือกตั้งนั้น นายกรัฐมนตรี ระบุว่า คสช.ทราบดีถึงข้อกังวลดังกล่าว เพราะได้หารือกับฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาตลอด แต่ขออย่างได้กังวล เนื่องจากระยะเวลาดังกล่าวไม่ได้เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่เป็นเรื่องที่กฎหมายพรรคการเมืองกำหนดขึ้น จึงอาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม
โดยในกฎหมายพรรคการเมือง มาตรา 141 นายทะเบียนพรรคการเมืองเพียงคนเดียวสามารถอนุญาตให้ขยายเวลาได้เป็นกรณี ดังนั้น คสช. จะไม่ทำให้เกิดความเสียหายหรือกระทบต่อพรรคการเมืองใด ๆ โดยจะใช้มาตรการพิเศษหรือมาตรการอื่นทางกฎหมาย โดยจะปรึกษากับ กกต. และจะไม่ให้ประกาศ คสช.เป็นอุปสรรค
พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงความคืบหน้าการปรับ ครม. ด้วยว่า เป็นวิธีการหนึ่งในการบริหารงานราชการในลักษณะการเมือง และไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นเรื่องสัดส่วนโควต้ารัฐมนตรีระหว่างทหาร ตำรวจ และพลเรือน แต่เพราะมีความจำเป็นจึงต้องปรับ เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ และขอไม่ให้วิพากษ์วิจารณ์ว่าจะให้ตำแหน่งแก่ ผบ.ตร. ยืนยันจะไม่ใช้วิธีการเช่นนั้นแน่นอน และรับปากจะทำให้ดีที่สุด เพื่อทำอย่างไรให้ประเทศเดินหน้าไปสู่การปฏิรูปได้ .