ศาลฎีกาฯให้เอกชนรายใหญ่ออกจากพื้นที่สาธารณะริมหาด จ.ภูเก็ต มูลค่าหมื่นล.
ศาลฎีกาให้จ.ภูเก็ตชนะคดีเอกชนรายใหญ่ฟ้องหน่วยงานรัฐเป็นจำเลยกรณีออกประกาศที่ดินริมหาดลายัน-เลพัง เป็นที่สาธารณะ 178 ไร่ โจทก์กับบริวารต้องออกจากพื้นที่ ขณะที่ดีเอสไอเตรียมลุย พบมูลค่ามหาศาลนับหมื่นล.
เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 1 พ.ย. 2560 จ.ภูเก็ต ที่บังบัลก์ 7 นายวริทธิ์ จิตรเพียรค้า ผู้พิพากษา อ่านคำพิพากษาฎีกา คดีระหว่างนางอรพรรณ พลอยเพชร กับพวกโจทก์ ฟ้อง กรมที่ดิน จังหวัดภูเก็ต นายอำเภอถลาง หัวหน้าสำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ต เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ตส่วนแยกถลาง ร่วมกันเป็นจำเลย 1-5 เมื่อ ปี พศ.2549 โดยศาลพิพากษาให้โจทก์ที่ 1-5 ประกอบด้วยนางสดใส องค์ศรีตระกูล นายพิทักษ์ บุญพจนสุนทร นายสวัสดิ์ ทองไพยุทธ นางอรพรรณ พลอยเพชร ออกจากพื้นที่ชายหาดลายัน-เลพัง พร้อมบริวาร และให้ยกโจทก์ที่ 6 โดยให้บังคับคดีตามคำพิพากศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ความเป็นมาของที่ดินบริเวณนี้เคยมีการออกเอกสารสิทธิ์ เป็น นส.3 ก. จำนวน 3 ฉบับ และในเวลาต่อมากรมที่ดินตั้งกรรมการขึ้นมาพิจารณาเพิกถอน เมื่อ ปี พ.ศ.2527
ต่อมาจังหวัดภูเก็ต โดยเจ้าพนักงานที่ดินสาขาถลาง ได้ขอขึ้นทะเบียนพื้นที่ชายหาดลายัน-เลพังหมู่ที่ 4 และ 6 ต่อเนื่องกัน ต.เชิงทะเล อ.ถลาง จ.ภูเก็ต เนื้นที่ 178 ไร่ เป็นพื้นที่สงวนหวงห้ามให้ประชาชนได้ใช้ร่วมกัน ตามมติคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ และ เป็นไปตาม พระราชบัญญัติที่ดิน มาตรา 20 เมื่อ ปี 2544 หลังจากนั้นมีนายทหารชั้นยศพลตรีและชั้นยศพลโทนอกราชการพยายามดำเนินการออกเอกสารสิทธิ์บริเวณดังกล่าวอีกครั้ง ต่อมาผู้บริหารระดับสูงแห่งหนึ่งได้มีหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตให้ตั้งกรรมการขึ้นมาพิจารณาใหม่ และ นำมาสู่การฟ้องร้องผู้ว่าฯและกรมที่ดินเป็นจำเลยที่มีการประกาศให้ที่ดินดังกล่าวเป็นที่สาธารณะอันเป็นการละเมิดเนื่องจากเป็นผู้ครอบครองที่ดินมาก่อนแล้ว
ศาลจังหวัดภูเก็ตได้พิพากษา ให้โจทก์ที่ 1-5 ออก จากพื้นที่ แต่ในชั้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ ได้พิพากษาให้ โจทก์ฟ้องที่ 6 ออกจากพื้นที่ด้วย
พ.ต.ท.มนตรี บุณยโยธิน ผู้อำนวยการสำนักคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า คดีนี้เป็นคดีที่มีความผิดต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ รับเป็นคดีพิเศษในพื้นที่บริเวณดังกล่าว ได้สั่งการให้คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ติดตามคำพิพากษาในวันนี้ และ เมื่อคำพิพากฎีกาออกมาว่าที่ดินชายหาดและที่ดินรัฐเป็นที่ดินสาธารณะประโยชน์ กรมสอบสวนคดีพิเศษ มีความจำเป็นต้องประสานทุกฝ่ายทั้งปกครอง ทหาร ท้องถิ่นและ บังคับคดี เพื่อยึดเอาที่ดินสาธารณะประโยชน์คืนให้กับแผ่นดิน ซึ่งที่ดินบริเวณนี้หากสามารถออกเอกสารสิทธิ์โฉนดที่ดินได้ จะมีการซื้อขายกัน ราคาไร่ละ 70 ล้านบาท
“ผมและทีมจะนัดร่วมประชุมกันที่ห้องประชุมองค์การบริหารส่วนตำบลเชิงทะเล ในวันที่ 2 พ.ย. 2560 เพื่อหามาตราการบังคับใช้กฏหมายให้สมบูรณ์เพื่อประชาชนจะได้สามารถใช้พื้นที่บริเวณนี้ร่วมกัน”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พื้นที่ดังกล่าวหากสามารถออกโฉนดที่ดินได้จะมีมูลค่าซื้อขายประมาณ 10,000 ล้านบาท ปัจจุปันครอบครองโดยเอกชนบุคคลและนิติบุคคลรายใหญ่รวม 9 ราย