“ผู้ป่วยฉุกเฉินขั้นโคม่า” รับสิทธิ์เข้าได้ทุก รพ.-ไม่สำรองจ่าย 1 เม.ย.
3 กองทุนสุขภาพ ตอบนิยาม “ผู้ป่วยฉุกเฉิน” ที่จะดีเดย์รับสิทธิ์ รักษาฟรีทุก รพ.ไม่สำรองจ่าย 1 เม.ย.นี้ เน้นโคม่าไม่รู้สึกตัว สปสช.รับเป็นหน่วยกลางสำรองจ่ายให้ รพ.ก่อนเรียกเก็บกองทุนต้นสังกัด
วันที่ 27 มี.ค.55 ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มีการเสวนาเรื่อง “นิยามเจ็บป่วยฉุกเฉินและความพร้อมหน่วยงานเบิกจ่ายกลาง หรือเคลียริ่งเฮาส์” โดย นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการ สปสช.กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายการบรูณาการ 3 กองทุน เพื่อการให้บริการเจ็บป่วยฉุกเฉินสำหรับประชาชนทุกสิทธิ์ของระบบประกันสุขภาพทั้ง 3 กองทุน โดยเริ่มต้นที่ผู้ป่วยฉุกเฉินโดยมีแนวคิดให้ “ผู้ป่วยฉุกเฉิน” ได้รับบริการโดยไม่ต้องถามสิทธิ์ภายใต้มาตรฐานเดียวกัน ซึ่งจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.นี้
นพ.วินัย กล่าวว่ากลุ่มเป้าหมายคือผู้ป่วยฉุกเฉินระดับวิกฤตและระดับเร่งด่วน ต้องรับผู้ป่วยไว้จนอาการทุเลาสามารถส่งกลับบ้านหรือส่งต่อ/ส่งกลับสู่ รพ.ในระบบต้นสังกัดได้ การดำเนินการนี้จะเป็นการแก้ไขปัญหาสำหรับผู้ป่วยฉุกเฉินของทั้ง 3 กองทุน ที่เดิมมีปัญหาในการเข้ารับบริการฉุกเฉินใน รพ.ที่อยู่นอกเครือข่าย ทำให้ต้องสำรองเงินจ่ายไปก่อน และอาจจะถูกบ่ายเบี่ยงการรักษาพยาบาล โดยเฉพาะต้องการแก้ปัญหาผู้ป่วยฉุกเฉินระดับวิกฤตและเร่งด่วนที่ต้องได้รับการรักษาโดยเร็ว และ รพ.ไม่มั่นใจว่าจะได้รับเงินค่ารักษา
โดยแนวทางใหม่นี้จะปรับให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ทำให้ทุก รพ.ไม่ต้องถามสิทธิ์การรักษาพยาบาลจากผู้ป่วย ผู้ป่วยไม่ต้องสำรองจ่าย รพ.รักษาทันที แล้วจึงมาเบิกจ่ายจากกองทุนที่เป็นสิทธิรักษาพยาบาลของผู้ป่วย
ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ ผู้อำนวยการสำนักบริหารการชดเชยค่าบริการ สปสช.กล่าวว่าอัตราและเงื่อนไขการจ่ายเงินชดเชยนั้น หลักการคือในกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินเข้ารับการรักษากับ รพ.ในเครือข่ายของ 3 กองทุน ให้เป็นไปตามระบบปกติของทั้ง 3 กองทุน แต่กรณีที่เข้ารับการรักษากับ รพ.นอกเครือข่ายของสิทธิการรักษาของผู้ป่วย สำหรับผู้ป่วยนอกจะจ่ายตามอัตราที่เรียกเก็บของกรมบัญชีกลาง สำหรับผู้ป่วยในจะจ่ายตามกลุ่มวินิจฉัยโรคร่วม หรือ ดีอาร์จี (DRG) โดยมีอัตราจ่ายตามน้ำหนักของโรค หรือ RW ละ 10,500 บาท
วิธีการคือ สำหรับ รพ.นอกเครือข่ายของทั้ง 3 กองทุนที่รับรักษาผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉิน ทั้งจากผู้ป่วยที่ส่งมาโดยรถกู้ชีพ 1669 หรือนำส่งเองเข้า รพ.ที่อยู่ใกล้ที่สุด แล้ว รพ.ต้องให้การรักษาทันที หลังจากนั้นจึงลงทะเบียนเบื้องต้น บันทึกข้อมูลการให้บริการ ส่งมาที่หน่วยงานเบิกจ่ายกลาง ซึ่ง สปสช.รับหน้าที่นี้ หลังจากนั้นจะประมวลผลและจ่ายชดเชยให้กับ รพ.ไปก่อน แล้วจึงส่งใบแจ้งหนี้ให้แต่ละกองทุนเพื่อจ่ายเงินคืน วิธีการนี้เพื่อลดขั้นตอนที่ยุ่งยาก และให้ รพ.ที่รับการรักษาได้รับเงินโดยเร็ว
นพ.ประจักษวิช เล็บนาค รองเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน (สพฉ.) กล่าวว่า ขณะนี้สิ่งที่มีความสำคัญ คือ ให้ความชัดเจนว่าการเจ็บป่วยฉุกเฉินเป็นอย่างไร ส่วนใหญ่อาการเจ็บป่วยฉุกเฉินระหว่างแพทย์ และผู้ป่วยไม่ตรงกัน จุดนี้ให้ยึดตามนิยามผู้ป่วยฉุกเฉินของคณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน ซึ่งแบ่งเป็น
1.ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต คือ บุคคลที่มีอาการป่วย หรือบาดเจ็บกะทันหันที่มีภาวะคุกคามต่อชีวิต หากไม่ได้รับการรักษาทันทีเพื่อแก้ไขระบบหายใจ ไหลเวียนเลือด หรือระบบประสาทแล้วมีโอกาสเสียชีวิตสูง หรือมีอาการรุนแรงมากขึ้น เช่น ภาวะหัวใจหยุดเต้น หายใจไม่ออกหอบรุนแรง หยุดหายใจ ภาวะช็อก ชักตลอดเวลาหรือชักจนตัวเขียว เลือดออกมากอย่างรวดเร็วและตลอดเวลา
2.ผู้ป่วยฉุกเฉินเร่งด่วน คือ บุคคลที่มีอาการป่วย หรือบาดเจ็บเฉียบพลัน หากไม่ได้รับการรักษาอย่างรีบด่วนมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนจนพิการหรือเสียชีวิตได้ เช่น ไม่รู้สึกตัว ชัก อัมพาต หรือตาบอดหูหนวกทันที ตกเลือดซีดมากจนเขียว เจ็บปวดมาก หรือทุรนทุราย ถูกพิษหรือรับยาเกินขนาด ได้รับอุบัติเหตุโดยเฉพาะมีบาดแผลที่ใหญ่มากหลายแห่ง
ทั้งนี้ แนวทางครั้งนี้เน้นผู้ป่วยฉุกเฉินระดับวิกฤตและเร่งด่วน หมายความว่าส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัว ได้รับการส่งรักษาโดยบุคคลอื่น ซึ่งต้องเป็น รพ.ที่อยู่ใกล้ที่สุด เพื่อให้การรักษาทันท่วงทีลดการสูญเสียชีวิต และความพิการรุนแรงจากเหตุไม่จำเป็น .