ปฏิรูปตำรวจ เพื่อทุกชนชั้นเสื้อสี
ความพยายามให้มีการปฏิรูปตำรวจผ่านมาแล้วเกือบปี ผู้ที่รณรงค์เรียกร้องให้ปฏิรูปได้รับความร่วมมือจากสื่อมวลชน นักวิชาการ และภาคประชาสังคม รวมทั้งตำรวจที่ต้องการปฏิรูปจำนวนหนึ่งมาร่วมกันสร้างองค์ความรู้ให้ประชาชน ให้ข้อเท็จจริงว่าปัญหาที่เกิดขึ้นรายวันกับชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยส่วนใหญ่นั้นมีรากเหง้ามาจากอะไร แล้วจะต้องเร่งแก้ปัญหา เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของตำรวจกันอย่างไร เริ่มที่จุดไหน
แต่ล่าสุดเกิดความประหลาดใจเมื่อทราบว่ามีการตีความการพยายามให้เกิดการปฏิรูปตำรวจเป็นเรื่องของการขานรับข้อเรียกร้อง “ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง” ของกลุ่มที่ไม่ต้องการรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง พูดตรงๆคือผู้ตีความต้องการถามว่า “ปฏิรูปตำรวจเพื่อขานรับข้อเรียกร้องของ กปปส.หรือเปล่า” พร้อมกับบอกว่าการปฏิรูปอะไรในยุครัฐบาลทหารนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ชอบธรรม
หากวันที่ 18 ตุลาคม ที่ผ่านมามูลนิธิ Friedrich Ebert Stiftung หรือ FES ประเทศไทย ไม่ได้จัดสัมมนาในหัวข้อ “ปฏิรูปตำรวจ: เสียงคนนอกและคนในองค์กร” ที่โรงแรมเดอะสุโกศล และเชิญวิทยากรที่เห็นด้วยกับการปฏิรูปตำรวจมาขึ้นเวทีพร้อมกับวิทยากรที่เกลียดทหารเป็นชีวิตจิตใจมาพูดอวยชัยตำรวจต่อหน้าคนทั้งห้อง เราคงจะไม่ทราบอะไรเลยว่ามีคนกลุ่มหนึ่งที่แปลเจตนาความต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมในเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องการกระทำที่มีนัยยะทางการเมืองแฝงอยู่ด้วย….อนิจจา
แต่ก็ยังเชื่อว่าเป็นเพราะผู้ที่คิดแบบนี้หลายคน ไม่มีข้อมูล ไม่ติดตามข่าวสารความเดือดร้อนของชาวบ้านจากการกระทำของคนสีกากีที่มีอยู่ให้เห็นได้ทุกวัน หรือลืมคิดไปว่าการรณรงค์ดังกล่าวนั้นทำเพื่อความอยู่รอดปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนทุกๆคน ไม่สนใจว่าเป็นคนของใครอยู่ฝ่ายไหน รวมทั้งเป็นการทำเพื่อลูกหลานของเราที่อาจจะเผชิญชะตากรรมเถื่อนๆของเจ้าหน้าที่ในที่ใด ในอนาคต หรือสถานการณ์ใด ไม่ทราบได้
ประชาชนได้ประโยชน์อะไร
คำถามนี้คงจะไม่เพียงทักท้วงต่อคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจเท่านั้นว่าปฏิรูปแล้วประชาชนจะได้ประโยชน์อะไร แต่ตอนนี้คงต้องถามกลุ่มที่รักและให้ท้ายตำรวจอยู่ด้วยว่าท่านทั้งหลายทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เรารณรงค์แล้ว “ประชาชนได้อะไร” ประชาชนในที่นี้รวมถึงคนรากหญ้าที่สนับสนุนนักการเมือง พรรคการเมืองที่ท่านเชียร์อยู่ด้วยไม่ว่าจะเป็นพรรคไหน สีไหน ซึ่งผู้ได้รับประโยชน์จากการปฏิรูปตำรวจอาจจะเป็นคนส่วนใหญ่ที่เป็นฐานคะแนนเสียงให้นักการเมืองที่ท่านสนับสนุนอยู่ด้วยซ้ำ
การละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยตำรวจที่เกิดขึ้นทุกวันกับคนไทย และแรงงานต่างชาติที่ไม่มีทางสู้ ไม่มีอำนาจต่อรอง มันเกิดได้ทุกนาที เจ้าหน้าที่จะมาจับตัวไป ยัดยา ยัดข้อหา มารีดไถ ไล่ที่ทำกิน ข่มขู่ คุกคาม หรือจับพวกเขาหายตัวไป แล้วเผานั่งยาง แขวนคอเมื่อใดก็ได้ เราชนชั้นกลางผู้อยู่ดีกินดีมิใช่หรือที่ต้องลงมาช่วยเหลือพวกเขา ให้หลุดรอดจากการกระทำที่ป่าเถื่อน โดยไม่ต้องสนใจว่าการเรียกร้องจะไปสร้างคะแนนเสียงให้ใคร ถ้าปฏิรูปได้สำเร็จก็เป็นอนิจสงค์ให้ทุกคน
การละเมิดสิทธิฯไม่เคยมีการเว้นวรรค
ยังไม่เคยมีประเทศไหนในยุคไหนที่ไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน ไม่ว่าจะเป็นสังคมนิยม ประชาธิปไตย หรือเผด็จการทหาร เรื่องนี้คนเดือนตุลาที่ยังมีชีวิตอยู่ก็เห็นกันมาตลอด ท่านจะเรียกการปฏิรูปตำรวจ หรือปฏิวัติตำรวจ ก็แล้วแต่ คนไทยทุกคนย่อมสัมผัสได้กับการปฏิบัติมิชอบของตำรวจ มากบ้าง น้อยบ้าง บางท่านผู้มีอันจะกินอาจจะไม่กระทบมากเพราะได้ใช้บริการตำรวจ มีเส้นสายคนในวงการสีกากีและวงการทหาร ที่สามารถทำให้ท่านมีชีวิตรอดปลอดภัยไม่สนใจการเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้ เพราะท่านมองปัญหาสังคมต่างกัน เราไม่ว่ากัน แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่าการละเมิดสิทธิมนุษยชนจากผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ทำหน้าที่ใกล้ชิดประชาชนมากที่สุด ได้สร้างปัญหาให้สังคมมากเกินกว่าที่เราคิด และเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้ง่ายดายกับคนทุกเพศทุกวัย เกิดในทุกรัฐบาล ไม่มีการเว้นวรรค และไม่เคยมีหลักประกันว่าจะไม่เกิดในรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
สามสิบปีที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่ารัฐบาลพลเรือนเองก็ไม่มีความกล้าหาญทางจริยธรรมที่จะปฏิรูปด้วยเช่นกัน….ถ้าคิดจะช่วยให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม เราไม่ควรคอยรัฐบาลใดทั้งสิ้น และไม่ควรคอยให้ คป.ตร.ปฏิรูปทหารก่อนแล้วจึงจะยอมร่วมมือปฏิรูปตำรวจด้วย
ทฤษฏีใหม่: ปฏิรูปทหารก่อนตำรวจ
ในสังคมไทยมีเรื่องต้องปฏิรูปทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูปพระสงฆ์ การศึกษา ที่ดิน ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด ปฏิรูปมหาวิทยาลัย ข้าราชการ พรรคการเมือง และปฏิรูปทหารดังที่ท่านต้องการ ทั้งหมดนี้ทำไปได้พร้อมๆกัน ไม่มีความจำเป็นต้องคอยอะไรก่อนหลัง และต้องทำต่อเนื่องอย่างกล้าหาญ ความระแวงว่าการปฏิรูปตำรวจในขณะนี้เป็นการสนับสนุนทหาร เป็นแนวคิดที่ไร้สาระไม่เป็นผลดีกับประชาชน นอกจากไม่ยึดประโยชน์ประชาชนเป็นตัวตั้งแล้วยังไม่ช่วยตำรวจจำนวนมากที่ต้องการปฏิรูปอีกด้วย อีกทั้งยังทำให้คนในสังคมมีความเข้าใจคลาดเคลื่อน ผิดทิศผิดทาง คิดว่าปัญหาที่เป็นอยู่มันไม่ได้เกิดจากตำรวจ เป็นปัญหาที่เกิดจากอัยการ ศาล หรือทหาร
แนวร่วมมุมกลับ
จริงอยู่นักประชาธิปไตยไม่ควรสนับสนุนการเข้ามามีอำนาจของทหาร หรือเมื่อทหารเข้ามาขัดตาทัพไม่ให้เกิดความรุนแรงก็ไม่ควรมาอยู่ในอำนาจนาน แต่การกระทำของตำรวจที่ผ่านมาก็รับใช้ทุกรัฐบาลและบ่อยครั้งที่ใช้อำนาจเหนือการเมือง จนมีการกล่าวขานว่ารัฐไทยเป็นรัฐตำรวจ ที่ทุกครั้งก็ยอมเป็นแขนขาให้ทหารทำการยึดอำนาจจากประชาชนอีกด้วย จึงอยากจะบอกว่า “ยิ่งมีกลุ่มอาสาออกมาขับเคี่ยวให้เกิดการปฏิรูปตำรวจให้ทำงานอย่างมืออาชีพได้มากเท่าใด ย่อมทำให้ทหารใช้อำนาจมิชอบลำบากขึ้นเท่านั้น”
จึงไม่มีเหตุผลใดที่ผู้ที่ชิงชังทหารจะต้องออกมาให้ท้ายอวยชัยตำรวจอย่างไม่รับผิดชอบ สร้างความชอบธรรมให้การทำผิดต่อประชาชนมันดำเนินต่อไป ทำตัวเสมือนเป็นแนวร่วมมุมกลับของตำรวจ หรือคอยโหนอำนาจฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพื่อกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งกับฝ่ายตรงข้าม ตลกร้ายยิ่งไปกว่านั้นคือตำรวจจำนวนหนึ่งก็ไม่ได้เห็นดีเห็นงามกับการอวยชัยของท่านทั้งหลายแม้แต่น้อย เพราะพวกเขาเองต้องการการเปลี่ยนแปลง ลุ้นจนตัวโก่งให้แยกการสอบสวนออกมาจาก สตช. อยากให้มีการกระจายอำนาจ หลายคนเห็นอกเห็นใจประชาชน และไม่ต้องการจับแพะ เขาต้องการทำงานอย่างตรงไปตรงมาด้วยซ้ำ ตำรวจจำนวนไม่น้อยเริ่มเข้าใจว่า คป.ตร ต้องการปฏิรูปเพื่อประชาชน และเพื่อศักดิ์ศรีความเป็นตำรวจของพวกเขาเองด้วย
เลิกระแวง หันมาปฏิรูปเพื่อยุติการละเมิดสิทธิฯร่วมกัน
เมื่อฐานความคิดทางการเมืองของแต่ละฝ่ายยังต่างกัน ท่านพร้อมจะทำเพื่อประชาชนเมื่อใดก็เมื่อนั้น แต่มันไม่ได้หมายความว่าความคิดเรื่องสิทธิมนุษยชนต้องต่างกันจนถึงต้องออกมาขวางกัน หากทำอะไรที่เป็นบวกกับสังคมไม่มีผลประโยชน์แอบแฝงเราควรสนับสนุน ไม่ระแวงกัน แอบให้กำลังใจกันได้ หรือหากยังไม่สะดวกใจ ก็อยู่ในที่มั่น ไม่แสดงตัวออกมาสร้างอุปสรรค ไม่ตีความเจตนารมณ์ปฏิรูปตำรวจเป็นเรื่องผลประโยชน์ของคนบางกลุ่มที่ไม่รักประชาธิปไตยเท่ากับท่าน จึงอยากจะบอกด้วยความจริงใจว่า การเมืองไม่ได้มีเฉพาะเรื่องของกีฬาสี แต่ยังมีพื้นที่สำหรับการเมืองภาคประชาชนคนที่ไม่สนใจสีใดและทำงานกับทุกคนได้อย่างต่อเนื่อง และคนเหล่านี้มีอยู่จริงในบ้านนี้เมืองนี้
หมายเหตุ : ภาพประกอบการปรับแต่ง news.mthai.com