70 ปี ร.9 : 70 ปี แห่งสันติภาพและความรุ่งโรจน์ของไทย
13 ต.ค. 2559 เป็นวันสุดท้ายของรัชกาลที่ 9 ปิดยุคปิดสมัย 70 ปี ของพระองค์ท่าน มอง 70 ปีนี้ อย่างพินิจพิเคราะห์ ช่างเป็น"ยุคทอง" ยุคหนึ่งของชาติไทย โดยแท้
เมื่อเริ่มรัชสมัย ประเทศไทยยังเป็นประเทศค่อนข้างยากจน ล้าหลัง และไม่เป็นที่รู้จัก เพิ่งผ่านสงครามโลกมาในฐานะผู้แพ้ ครุ่นคิดจะปรับตัวอย่างไร ในเมื่อได้เข้าสู่สงคราม"ผิดฝ่าย" ไปแล้ว ปี 2489 เราพยายามจะสมัครเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติ เพื่อให้มีฐานะระหว่างประเทศที่มั่นคงต่อไป การตัดสินใจเข้าร่วมใน"สงครามเย็น"ในฝ่ายอเมริกา เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อังกฤษและฝรั่งเศสไม่กลับมาแก้แค้น "เอาคืน"ไทยมากนัก ใน 70 ปีของ ร.9 ไทยได้ผ่านร้อนผ่านหนาวปรับท่าทีจุดยืนในการเมืองโลก และเอเชีย ที่เต็มไปด้วยภยันตรายมาได้ อย่างน่าพิศวง ทุกช่วงทุกตอน จนขณะนี้กล่าวได้ว่า เรา"ไม่มีศัตรู" "ไม่เป็นศัตรู" กับมหาอำนาจและประเทศใดๆ เลย เรารักษาดุลยภาพอันสำคัญกับอเมริกา จีน ญี่ปุ่น รัสเซีย ยุโรป ไว้ได้ เรามีบทบาทหลักในการดึงเอาเพื่อนบ้านใกล้ชิดที่เคยหมางเมินกันหรือเป็นปฏิปักษ์กันเช่น พม่า เวียดนาม ลาว และเขมร ให้มาอยู่ร่วมฉันมิตรชิดใกล้ในอาเซียน
โปรดจารึกไว้ว่า ใน 70 ปี อันยาวนาน ของ ร.9 นั้น แม้จะมีความขัดแย้ง แต่เราก็ไม่มีสงครามกับเพื่อนบ้านหรือมหาอำนาจเลย เราสามารถรักษาสันติภาพไว้ได้ ในขณะที่เพื่อนบ้านอินโดจีนทั้งสามต้องจมปลักอยู่ในสงครามเนิ่นนาน และพม่าทุกวันนี้ก็ยังไม่สงบศึกจากกบถชนกลุ่มน้อยอีกหลายกลุ่ม "สันติภาพ" 70 ปีนี้ได้บวกเข้าไปกับสันติภาพอันยาวนานที่เริ่มในสมัย ร.4-5 เป็นอันว่า ณ บัดนี้ ไทยเป็นประเทศโดดเด่นมาก คือ มีสันติภาพ หรือ "สันติสุข" ต่อเนื่องและยาวนานถึงราวสองศตวรรษ ยากมากที่ประเทศอื่นใดจะมีได้ ทุกเช้าเมื่อเราตื่นมาเห็น ข่าวร้าย ข่าวโหด ภาพอันแสนจะหดหู่ของสงครามในรอบโลก ช่างเป็นบุญของพวกเราที่เกิดมาในประเทศนี้ ไหมครับ
70 ปี ของ ร.9 ในอีกแง่หนึ่ง คือการเปลี่ยนประเทศไทยที่ยากจนและล้าหลังให้มาเป็นประเทศรายได้ปานกลางระดับบน ยังมีความเหลื่อมล้ำที่ต้องทำให้ลดลง แต่ ข่าวดี: คนส่วนใหญ่เรามิใช่คนจนอีกแล้ว หากเป็นคนชั้นกลางและคนชั้นกลางระดับล่าง คนส่วนใหญ่มิใช่ชาวชนบทผู้ยากไร้อีกแล้ว หากกลายเป็นคนในเมืองทั้งเมืองใหญ่และเมืองเล็ก ปัญหาของชาวชนบทยังต้องเอาใจใส่แก้ไข แต่วันนี้ประเทศไทย มีรายได้ส่วนใหญ่ที่มาจากภาคอุตสาหกรรมและการบริการแล้ว ประเทศได้กลายเป็นนครและเมืองไปมากแล้ว กรุงเทพฯ นั้น ไม่ได้เป็นเพียงเมืองหลวงของเรา ยังเป็นเมืองอันดับหนึ่งของโลกด้วย ในแง่ที่มีคนต่างชาติมาสู่--มาเที่ยว ทำงาน ต่อเครื่อง เรียน รักษาตัว--มากที่สุด ครับเราเบียดเอาชนะลอนดอน และ อยู่ล้ำหน้า ในแง่นี้ กว่านิวยอร์ค กว่าปักกิ่ง โตเกียว โซล สิงคโปร์ ฮ่องกง เสียอีกน่าทึ่งไหมครับ ยิ่งกว่านั้น ยังมี พัทยา ภูเก็ต และเชียงใหม่ ที่เป็นเมืองสำคัญของการท่องเที่ยวโลกไปด้วย ทราบด้วยนะครับ พัทยาและภูเก็ตนั้น อยู่ในยี่สิบห้าเมืองเอกของบรรดาเมืองในเอเชียและแปซิฟิก ครับ เชียงใหม่ก็เป็นรองสองเมืองนั้นไม่มาก
ที่อยากจะชี้คือ ถ้าบ้านเราไม่มีสันติสุข ไม่มีอะไรดีๆ แล้ว ใคร ๆ จากทั่วโลกจะมาเยือน มาเที่ยวไทยหรือ ครับ ในขณะที่เราบ่นว่าไทยนั้นไม่ดี ไม่น่าอยู่ ไม่เติบโต ไม่เป็นธรรม ไม่สะอาด ไม่เท่าเทียม นั้น เรากลับถูกจัดให้อยู่ในระดับ "มหาอำนาจ" ของการท่องเที่ยวโลก รายได้จากการท่องเที่ยวของเรานั้นดูเหมือนจะเป็นอันดับห้า หรือ หก ของโลกเชียว ถ้าคนทั่วโลกมองว่าไทยไม่ดี ไม่ปลอดภัย ไม่สนุกแล้ว เขาจะแห่กันมาบ้านเรามากมายกันอย่างนี้หรือครับ คำตอบ : เมืองไทย คนไทย เรา "ดีกว่า" ที่คนไทยด้วยกันมองเยอะครับ
สุขภาวะของคนไทยดีขึ้นมากใน 70 ปีของ ร.9 เช่นกัน ครับ จากอายุที่คาดว่าจะอยู่ได้ถึง หรือ life expectancy 40 กว่า ปี ขณะนี้ขึ้นมาเป็น 70-80 พูดง่ายๆ อายุคนไทยยาวขึ้นเกือบเท่าตัวนะครับ เล่าเรื่องใกล้ตัวให้ฟังก็แล้วกัน คุณแม่ของผมท่านมีลูกชายคนโตที่เกิดช่วงก่อนสงครามโลกนิดหน่อย แล้วก็ เกิดสงครามขึ้น ระหว่างสงครามนั้น คุณแม่มีลูกอีกสามคน แต่ตายหมดขณะเป็นทารก ต่อมาหลังสงคราม เริ่มรัชกาลที่ 9 ท่านมีลูกสาว อีกคน ปรากฏว่าอยู่รอด และหลังจากนั้น คุณแม่มีลูกอีกสี่คน อยู่รอดหมด จนทุกวันนี้ยังมีชีวิตทุกคน และคุณแม่เองปัจจุบันอายุ 93 แล้ว ยังคงเป็นร่มโพธิร่มไทรของลูกหลาน แต่คุณยายนั้น ท่านเสียชีวิตเมื่ออายุไม่ถึงยี่สิบปี หลังจากคลอดลูกคนแรก คือคุณแม่ ไม่นาน แหละ นี่คือสุขภาวะที่แตกต่างกันลิบลับของคนไทย เทียบดู : ก่อนเริ่มรัชกาล กับ เมื่อ 70 ปี ของรัชกาลที่ 9 จบลงไป เห็นไหมครับ
วันนี้ วันที่ 13 ต.ค. 2560 รำลึกถึงวันนี้ เมื่อปีกลาย และมองไปเห็นวันที่ 26 ตุลาคม รออยู่ วันที่ไทยทั่วแผ่นดินจะถวายพระเพลิงพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ รัชกาลที่ 9 ด้วยความกตัญญู ด้วยรัก ด้วยอาลัย เหลือแสน การเสด็จสวรรคตของพระองค์ท่านนั้นเป็นการเปลี่ยนผ่านยุคสมัยอัน "ยิ่งใหญ่" ของประเทศนี้ และเชื่อว่านี่จะเป็นหลักเขตหรือหมุดหมายที่สำคัญในชีวิตของเราทุกคนด้วย เหนือสิ่งอื่นใด รัชกาลที่ 9 คือยุคทองอีกยุคหนึ่งของสยาม-ไทย เราโชคดีมีวาสนายิ่งที่ได้อยู่ ได้เห็น ได้ร่วม ในสันติสุขและความรุ่งโรจน์ ของยุคนี้ น่าภูมิใจที่ได้เกิดและอยู่ในแผ่นดินทองของ ร 9 และ ด้วยความเชื่อมั่นในราชจักรีวงศ์ ผมเชื่อครับว่า "แผ่นดินใหม่" ก็จะต้องสงบสันติ และจะเจริญรุ่งเรืองอีก จะต่อยอดจากความดีงามทุกอย่างของแผ่นดินที่แล้วอย่างแน่นอน
หมายเหตุ : ภาพประกอบจากโรงพิมพ์ปฏิทิน.com