10เดือนฟัน21ราย!ก.ล.ต.เผยผลลงโทษทางแพ่งทำผิด กม.หลักทรัพย์-ส่งเงินคืน ก.คลัง50ล.
ก.ล.ต. เผยผลลงโทษทำผิด กม.หลักทรัพย์ ทางแพ่งกับบุคคลธรรมดา-นิติบุคคล 10 เดือน 8 คดี ฟัน 21 ราย เก็บเงินเข้า ก.คลัง ได้กว่า 50 ล้าน ทำผิดอินไซเดอร์หุ้น-ปฏิบัติหน้าที่ไม่ระมัดระวัง โดนเยอะสุดกว่า 31 ล้าน
เมื่อวันที่ 12 ต.ค. 2560 นายสมชาย พงษ์พัฒนาศิลป์ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ก.ล.ต.) สายบังคับใช้กฎหมาย กล่าวถึงสถิติการดำเนินคดีด้วยมาตรการลงโทษทางแพ่งดำเนินการกับผู้กระทำความผิดที่เป็นบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 ธ.ค. 2559 ว่า ก.ล.ต. ลงโทษทางแพ่งไปแล้วจำนวน 8 คดี 21 ราย และนำเงินส่งกระทรวงการคลังเป็นรายได้แผ่นดินไปแล้วกว่า 50 ล้านบาท
นายสมชาย กล่าวว่า ระยะเวลาประมาณ 10 เดือนที่ ก.ล.ต. ดำเนินการกับผู้กระทำผิดกฎหมายหลักทรัพย์ ด้วยมาตรการลงโทษทางแพ่งกับบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ความผิดที่ดำเนินการได้แก่ ความผิดฐานใช้ข้อมูลภายในก่อนเปิดเผยต่อประชาชน (อินไซเดอร์) และความผิดเกี่ยวกับการขาดความระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน โดยเป็นเงินค่าปรับทางแพ่งจำนวนกว่า 31 ล้านบาท และให้ชดใช้เงินเท่ากับผลประโยชน์ที่ได้รับจำนวน 19.6 ล้านบาท
นายสมชาย กล่าวว่า มาตรการลงโทษทางแพ่งเป็นทางเลือกในการดำเนินการกับผู้กระทำความผิดกฎหมายหลักทรัพย์ ที่ช่วยให้การบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยกระบวนการที่เป็นธรรมโดยคณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) ซึ่งมีอัยการสูงสุดเป็นประธาน และผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องในตลาดทุน ร่วมกันพิจารณาความเหมาะสมในการใช้มาตรการลงโทษทางแพ่ง แต่หากพบว่าผู้กระทำความผิดไม่ชำระเงินหรือชำระไม่ครบถ้วนตามที่ได้ยินยอมไว้ หรือไม่ยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่ง ก.ล.ต. สามารถร้องขอต่อศาลแพ่งเพื่อบังคับคดีได้ และยังสามารถกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีอาญาได้ในกรณีที่ไม่ยอมชำระเงิน
“ความผิดตามกฎหมายหลักทรัพย์ในเรื่องอื่นที่เป็นความผิดร้ายแรง เช่น การทุจริต การระดมทุนหรือประกอบธุรกิจหลักทรัพย์โดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นต้น ยังคงต้องดำเนินคดีอาญาโดยกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนเพื่อนำไปสู่การพิจารณาของศาลต่อไป” นายสมชาย กล่าว