จันทบุรี จังหวัดที่เคยเป็นอาณานิคมฝรั่งเศส
จันทบุรีช่างวิเศษและพิเศษ ไปจันทบุรีหลายครั้ง แต่ละครั้งจะได้ความประทับใจใหม่ๆ เสมอ ไม่มีวันหมดสิ้น แต่น่าแปลก จังหวัดนี้คนยังมาเที่ยวไม่มาก แต่ผมเองไปมาสิบกว่าครั้งแล้ว ครับเริ่มจากไปเพียงดูพลอยและแค่ไปปั่นจักรยาน
จันทบุรี เป็นเมืองชายหาด มีหาดขาวสวยที่เล่นนำ้ทะเลได้สบายๆ เช่นหาดเจ้าหลาว และแหลมเสด็จ แต่ก็มีเขาสูงชันศักดิ์สิทธิ์ที่คนทั่วไทย เรือนแสน ปีละสองเดือน หลั่งไหล แย่งกันขึ้นไปสักการะรอยพุทธบาท เช่น เขาคิชกูฏ และมีเขาสอยดาวที่สูง ใหญ่ และ มีอากาศเย็นสบาย ขนาดแห่มากางเต้นท์นอนดูดซับความเยือกเย็นแบบเขาภาคเหนือก็ได้
จันท์ยังมีน้ำตก"พลิ้ว" แสนงามอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองจันท์ที่อยู่ลึกเข้าไปในพงไพร น้ำไหลดีเป็นชั้นและเป็นทางยาวทั้งปี สวยงามและร่มรื่นมาก ที่สำคัญกว่านั้น รัชกาลที่ห้าเคยเสด็จที่นี่ถึงสี่ห้าครั้ง และ เคยเสด็จมาพร้อมสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทา ฯ ที่ทรงสนิทเสน่หาเป็นที่ยิ่ง มีอนุสรณสถานพระนางเจ้าที่นั่นด้วยที่เรียกกันว่า "ปีระมิดพระนางเจ้าสุนันทา" พลิ้ว จึง เป็นทั้งน้ำตกธรรมชาติที่สวยเลิศล้ำ และยังเป็นสถานที่จะน้อมรำลึกถึงพระพุทธเจ้าหลวงได้เป็นอย่างดี ก็น้ำตกแห่งนี้หนอที่ ท่านทรงเคยย่างเหยียบ ฝากรอยพระบาท เคยสำราญพระราชหฤทัย อยู่เสมอ
จังหวัดนี้ยังมีแม่น้ำจันท์ไหลผ่านไปลงทะเล ทางน้ำไม่ใหญ่ แต่ก็ไม่เล็ก และที่สำคัญมีชุมชนโบราณริมน้ำจันทบูร ที่มีตึกรามบ้านช่องเก่าแก่ สง่า ภูมิฐาน อยู่หลายหลัง และอนุรักษ์เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมกันได้เป็นอย่างดี ยากที่จะเห็นได้ในจังหวัดอื่นๆ โรงแรมหลายแห่งดัดแปลงจากบ้านขุนนางเก่าหรือเศรษฐีเก่า ผมเองชอบไปขี่จักรยานและเดินเล่นย่านนี้ ที่ชอบมากคือโบสถ์คริสต์คาทอลิกเก่าแก่และชุมชนญวนขนาดใหญ่ที่อยู่ริมแม่น้ำด้วย ชาวญวนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นชาวคาทอลิก อพยพเข้ามาอยู่เมืองจันท์กว่าร้อยสองร้อยปีแล้ว เพราะแต่เดิมนั้น เดินทางจากประเทศเวียดนามมาสยามนั้นง่ายดาย อาศัยเรือสำเภาเป็นสำคัญ จากเวียดนามอ้อมแหลมญวนเข้าอ่าวไทย ผ่านเขมรก่อน แล้วมาถึงเมืองตราด และจันทบุรี อาจต่อเข้าถึงกรุงเทพฯ ด้วยเลยก็ได้ ในอดีตอ่าวไทยจึงเป็นดุจสะพานที่เชื่อมสามประเทศ เวียดนาม เขมร ไทย เข้าด้วยกัน
เรามักรู้กันว่าจันท์คือ "เมือง" พระเจ้าตาก พระเจ้าตากเสด็จตีเมืองนี้ ทรงประทับส้องสุมกำลังพลที่นี่ แล้วเสด็จกลับไปตีอยุธยาคืนจากพม่าได้ แต่มีน้อยคนนัก นอกเมือง จะรับทราบว่าจันท์นี้ยังเป็นเมือง เป็น "บ้าน" ที่ทรงเรียกว่า "สวนบ้านแก้ว" ของพระบรมราชินีองค์สุดท้ายในระบอบสมบูรณาญาสิทธิ นั่นก็คือ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 นั่นเอง
ปี 2492 หลังสงครามโลกสิ้นสุดลงสี่ปี สมเด็จพระนางรำไพพรรณี ฯ เสด็จกลับจากอังกฤษพร้อมพระบรมอัฐิของรัชกาลที่ 7 หลังจากที่ได้ทรงพลัดบ้านพลัดเมือง เสด็จไปประทับทั้งสองพระองค์ในอังกฤษเมื่อ ปี 2477 เมื่อกลับมานั้นไม่ทีวังศุโขทัยให้ประทับ ด้วยรัฐบาลในขณะนั้นของจอมพล ป พิบูลสงคราม ได้ยึดไปใช้เป็นที่ทำการใหม่ของกระทรวงแห่งหนึ่ง สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีจึงเสด็จไปประทับที่จันทบุรี ทรงสร้างวังเรียบง่าย ขนาดย่อมๆ มีรูปทรงและการตบแต่งอย่างสมถะ แบบบ้านในไร่ในสวน ใครที่ไปเห็นย่อมอดสะท้านใจและสงสารท่านไม่ได้ว่า รัฐบาลช่างมิได้ดูแลเอาใจใส่พระองค์ท่านเท่าที่ควร มิได้ทรงดำรงพระชีพ พระอิศริยศ และพระฐานันดรสมกับอดีตสมเด็จพระบรมราชินีเลย ทรงงานและทรง "อยู่กิน" เยี่ยงสามัญชนมากกว่า เสมือนทรงเป็นเกษตรกรที่มี "พออันจะกิน" เท่านั้น ทรงขนานนามวังนั้นเพียงว่า "สวนบ้านแก้ว" เท่านั้น ท่านที่อยากจะทำความเข้าใจ 2475 ในมุมที่คาดคิดกันไม่ถึง และรู้ซึ้งถึงความขัดแย้ง-แตกหักของการเมืองหลังการเปลี่ยนแปลง 2475 แล้วไซร้ ย่อมจะต้องไปชม "สวนบ้านแก้ว" นี้ให้ได้ ซึ่งในปัจจุบันนี้ได้กลายรูปไปเป็นพิพิธภัณฑ์ ตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี ครับ
อีกแห่งหนึ่งที่พลาดไม่ได้ หากท่านจะไปเมืองจันท์ คือ ป่าชายเลนที่หาด"คุ้งกระเบน" อยู่ไม่ไกลจากหาดเจ้าหลาวและแหลมเสด็จ ในอดีตเคยกลายเป็นป่าเสื่อมโทรมแล้ว แต่แล้วด้วยพระปรีชาญาณและพระวิริยะอุตสาหะของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงอำนวยการให้ดูแลฟื้นฟูป่าชายเลนแห่งนี้ขึ้นมาใหม่ เวลาผ่านไปหลายสิบปี มีการปลูกไม้โกงกางและไม้ชายเลนใหม่แทบทุกปีไม่มีขาด พร้อมทั้งฟื้นฟูไม้เก่ามิได้ยิ่งหย่อนกว่า ซึ่งโครงการพระราชดำริได้ทุ่มเทเพียรพยายามและใช้ความรู้และเทคโนโลยีที่เหมาะสมเป็นเวลานานมาก ในที่สุดหลายปีมานี้คุ้งกระเบนกลายเป็นป่าชายเลนขนาดหลายพันไร่ที่สวยงามสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของไทย และผมเชื่อว่าของโลกด้วย เป็นแหล่งพืชสัตว์น้ำกร่อยที่ค่อนข้างจะหลากหลายและครบถ้วนและเป็นแหล่งเพาะเลี้ยงสัตว์ทะเลได้หลายชนิดพันธ์ "คุ้งกระเบน" นี้ เป็นประจักษ์พยานว่า ด้วยพระบารมีของในหลวงในพระบรมโกศ และด้วย เดชะบุญของแผ่นดินที่พระองค์ท่าน ทรงครองราชย์ยาวนานเป็นพิเศษ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นการลงทุนหรือเป็นการทำงานระยะยาวมาก บรรลุผลเกือบทุกอย่าง รวมถึงการทะนุบำรุง "คุ้งกระเบน"
สำหรับลูกหลานเราในภายหน้า ถ้าอยากรู้ว่ารัชกาลที่ 9 นั้นทรงยิ่งใหญ่แค่ไหน แนะนำให้เขามาดูที่นี่ดูอดีตและปัจจุบันของป่าชายเลนแห่งนี้ที่เมืองจันท์ เทียบกันดู ก็จะเห็นชัดเอง
สุดท้าย เมืองจันท์ยังพิเศษสุด ตรงที่ว่าเป็นดินแดนสยาม รวมกับ ตราด ที่เคยตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส แล้วได้กลับมาเป็นของไทยอีกครั้งหนึ่งอยู่จนทุกวันนี้ ซึ่ง นอกจากสองจังหวัดนี้แล้ว ดินแดนเกือบครึ่งราชอาณาจักรที่สยามต้องตัดไปให้กับอังกฤษและฝรั่งเศสผู้ก้าวร้าวนั้น ไม่ได้กลับคืนมาเลย กลายไปเป็นส่วนหนึ่งหรือส่วนสำคัญของพม่า มลายู ลาว และ เขมร ไปสิ้น อันจันทบุรีและตราดนั้นพระพุทธเจ้าหลวงหวงแหนที่สุด เมืองจันท์ต้องตกเป็นของฝรั่งเศส 12 ปี แล้ว ยังทรงเอากลับคืน ทรงได้จันทบุรีและตราดคืนมา ที่สำคัญ ด้วยการแลกกับเสียมราฐ พระตะบอง ศรีโสภณ พูดเพื่อให้เห็นความสำคัญของสองเมืองอ่าวไทยนี้ว่า ทรงรักเมืองจันท์ เมืองตราดมาก ยอมยก "นครวัด นครธม" ซึ่งทุกวันนี้เราเห็นชัดว่าคือมรดกโลกชิ้นเอกอันเรืองนาม ให้แก่ฝรั่งเศส แล้วขอเอาเมืองจันท์เมืองตราดคืนมา อนึ่ง ขอจารึกไว้ ณ ที่นี้ว่ารัชกาลที่ 5 นั้น เสด็จไปเมืองจันท์ครั้งแรก เมื่อพระชนม์เพียง 5 พรรษา ตามเสด็จพระราชบิดา รัชกาลที่ 4 และเสด็จครั้งสุดท้ายในปี 2450 ก่อนสวรรคตเพียงสามปี ในเกือบห้าสิบปีนั้น พระองค์ท่านเสด็จจันทบุรีถึง 13 ครั้ง คงไม่มีเมืองไหนอีกแล้ว นอกจากอยุธยา ถ้าจะเดา ที่พระองค์ท่านจะเสด็จประพาสบ่อยเท่าเมืองจันท์นี้
สรุปได้ไหมครับว่าเมืองจันท์นั้นช่างไม่ธรรมดาจริงๆ สำคัญยิ่ง วิเศษยิ่ง พิเศษยิ่ง เมืองนี้ยังสวยงาม น่าเที่ยว น่าไปศึกษา น่าไปชื่นชมที่สุด รีบวางแผนไปเที่ยวเมืองจันท์กันเถิดครับ