เก็บเมล็ดพันธุ์โทษจำคุก มูลนิธิชีววิถีจวก กษ.ออกร่างกม.ปล้นเกษตรกรไทย
มูลนิธิชีววิถีจวกกระทรวงเกษตรฯ ออกร่างกฎหมาย ปล้นเกษตรกรไทย ชี้เนื้อหลัก ห้ามเก็บเมล็ดพันธุ์พืชปลูกต่อ โทษถึงจำคุก ซ้ำเปิดช่องบริษัทผูกขาด ขยายเวลาสิทธิเพิ่มถึง 20-25 ปี กระทบความมั่นคงทางอาหารของไทย
เมื่อวันที่ 6 ต.ค.60 นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี (BIOTHAI) ให้สัมภาษณ์ ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ถึงกรณีที่กรมวิชาการเกษตรประกาศรับฟังความเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองพันธุ์พืช(ฉบับที่...) พ.ศ.... ซึ่งกำหนดสิ้นสุดรับฟังความเห็นภายในวันที่ 20 ตุลาคมนี้ โดยทางมูลนิธีชีววิถีพบว่า เนื้อหาของร่างกฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืชฉบับใหม่นี้ให้เป็นไปตามอนุสัญญา UPOV 1991 ซึ่งเอื้ออำนวยประโยชน์ให้บรรษัทเมล็ดพันธุ์เพิ่มการผูกขาดพันธุ์พืชและเปิดช่องให้ลงโทษเกษตรกรที่เก็บรักษาพันธุ์พืชไปปลูกต่อ เป็นการทำลายวัฒนธรรมที่สร้างความหลากหลายทางชีวภาพ และจะกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารของประเทศ
นายวิฑูรย์ กล่าวถึงร่างกฎหมายตาม UPOV คือกฎหมายให้สิทธิผูกขากแก้นักปรับปรุงพันธุ์ ซึ่งก็คือบริษัทเมล็ดพันธุ์อย่างเข้มข้นมาก ไปลดทอนสิทธิของเกษตรกร ซึ่งภายใต้กฎหมายเดิม เกษตรกรมีสิทธิที่จะเก็บพันธุ์ไปปลูกต่อได้ ไม่ว่าจะเป็นพันธุ์พืชใดๆ ก็ตามที่เกษตรกรซื้อมาปลูก แต่ภายใต้ UPOV สิทธิเหล่านี้ถูกตัดออกไป
ทั้งนี้ มูลนิธิชีววิถี ได้ระบุถึงเนื้อหาของร่างกฎหมายของกรมวิชาการเกษตรที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ของกรมวิชาการการเกษตร ว่า มีเนื้อหาที่ละเมิดสิทธิเกษตรกร ขยายการผูกขาดของบรรษัทเมล็ดพันธุ์ และเปิดทางสะดวกให้โจรสลัดชีวภาพ โดยมีสาระสำคัญที่น่ากังวลดังต่อไป
1. ตัดสิทธิของเกษตรกรเก็บรักษาพันธุ์พืชใหม่ไปปลูกต่อ โดยตัดเนื้อหาใน มาตรา 33 (4) ของกฎหมายฉบับเดิมออก ซึ่งทำให้เกษตรกรที่เก็บพันธุ์พืชไปปลูกต่ออาจได้รับโทษถึงจำคุก
2. ขยายระยะเวลาการผูกขาดพันธุ์พืชใหม่ของบริษัทออกไปตาม UPOV1991 โดยขยายสิทธิผูกขาดพันธุ์พืชออกไปจาก 12-17 ปี เป็น 20-25 ปีแล้วแต่กรณี (ยกเว้นพืชที่ให้เนื้อไม้)
3. ขยายการผูกขาดจากเดิมกำหนดอนุญาตให้เฉพาะ “ส่วนขยายพันธุ์” ให้รวมไปถึง “ผลผลิต” และ “ผลิตภัณฑ์” ด้วย
4. ขยายการผูกขาดพันธุ์พืชใหม่ไปยังอนุพันธุ์ของสายพันธุ์พืชใหม่ หรือสายพันธุ์ซึ่งมีลักษณะพันธุ์ที่ได้พันธุกรรมสำคัญมาจากพันธุ์ที่ได้รับการคุ้มครอง (Essentially Derived Varieties-EDVs)
5. เปิดทางสะดวกให้โจรสลัดชีวภาพ โดยตัดการแสดงที่มาของสารพันธุกรรมออกเมื่อบริษัทประสงค์จะขอรับการคุ้มครองพันธ์พืชใหม่ และแก้คำนิยามของพันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไป เพื่อเปิดโอกาสให้บริษัทไม่จำเป็นต้องแบ่งปันผลประโยชน์เมื่อนำเอาพันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไปไปใช้ประโยชน์ โดยเพียงแต่บริษัทนำเอาพันธุ์พืชพื้นเมืองที่ต้องการมา ”ผ่านกระบวนการปรับปรุงพันธุ์” เสียก่อนเท่านั้น
6. ตัดข้อกำหนดการต้องผ่านกระบวนการรับรองความปลอดภัยทางชีวภาพสำหรับพันธุ์พืชดัดแปลงพันธุกรรมที่ประสงค์จะขอรับการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ออก
7. ตัดเงื่อนไขเกี่ยวกับการระงับสิทธิในพันธุ์พืชใหม่ที่เกี่ยวกับความมั่นคงทางอาหารและการแทรกแซงของรัฐในกรณีที่มีการตั้งราคาเมล็ดพันธุ์แพงจนเกษตรกรไม่สามารถเข้าถึงได้
8. แก้ที่มาของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากเกษตรกร นักวิชาการ องค์กรสาธารณประโยชน์ และภาคเอกชน จากการเลือกตั้งกันเอง เป็นการแต่งตั้งทั้งหมด
นอกจากนี้ทางมูลนิธิฯ ยังระบุถึงหลักการและเหตุผลที่มีการร่างกฎหมายฉบับครั้งนี้ ซึ่งระบุไว้อย่างชัดเจนว่า เป็นการร่างกฎหมายเพื่อให้ให้เป็นไป “ตามแนวทางของอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่(อนุสัญญา UPOV 1991)” และรองรับ “แนวโน้มการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) จะผลักดันให้ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีสมาชิกอนุสัญญา UPOV1991”
“การออกร่างฯ ในช่วงเวลานี้เป็นการฉวยโอกาส 2 ชั้น คือฉวยโอกาสไม่ให้ประชาชนเคลื่อนไหวคัดค้าน โดยเฉพาะในเดือนตุลาคม และฉวยโอกาสผลักดันให้ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีในอนุสัญญาระหว่างประเทศทางอ้อมโดยไม่ผ่านกระบวนการทางรัฐสภาเกี่ยวกับการให้สัตยาบันในอนุสัญญาความตกลงระหว่างประเทศตามรัฐธรรมนูญ” ผอ.มูลนิธิชีววิถี กล่าว และว่า มาตรการต่อไปทางเครือข่ายจะเร่งกระจายเรื่องนี้ไปยังเครือข่ายเกษตรกรทั่วประเทศ เพื่อให้เข้ามาแสดงความเห็นคัดค้าน และจำเป็นต้องมีการจัดเวทีให้ความรู้ในเรื่องกฎหมายตัวนี้ เนื่องจากเป็นกฎหมายที่มีความซับซ้อน มีการลดทอนคำนิยาม และหากร่างฉบับดังกล่าวยังผ่านไปได้ ก็จำเป็นต้องมีการชุมนุมคัดค้าน แต่คงต้องรอให้พ้นช่วงพระราชพิธีไปก่อน
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวได้รายงานด้วยว่า ที่ผ่านมากรมวิชาการเกษตรได้เคยมีความพยายามในการแก้ไขกฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ.2542 แล้วหลายครั้ง โดยเฉพาะในช่วง เมื่อว้นที่ 16 มีนาคม 2559 ทางมูลนิธิชีววิถีได้ทำหนังสือคัดค้านและชี้แจงเหตุผลต่างๆ ต่อกรมวิชาการเกษตร และนักวิชาการหลายท่านก็ได้แสดงความคิดเห็นคัดค้าน แต่ความเห็นดังกล่าวไม่เคยได้รับการพิจารณา และนำมาปรับปรุงในร่างกฎหมายฉบับใหม่ที่กำลังเปิดรับฟังความเห็นเลย ซึ่งทางมูลนิธิชีววิถีมองว่า การเปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็นทางหน้าเว็บไซท์น่าจะเป็นเพียงพิธีกรรมเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กฎหมายนี้ผ่านความเห็นชอบของรัฐบาลและสภานิติบัญญัติแห่งชาติเท่านั้น
สามารถอ่านเนื้อสำคัญของร่างที่นี่
https://goo.gl/Gb9E43
หมายเหตุ: ภาพประกอบจาก biodiversidadla.org